ความรู้เรื่องโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์

โรครูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เป็นโรคที่ข้อต่างๆ ของร่างกายเกิดการอักเสบปวดบวมขึ้นมา มีการอักเสบขึ้นในเนื้อเยื่อที่บุอยู่ในข้อ รูมาตอยด์เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่งซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบต้นเหตุที่แท้จริงของโรค แต่พบว่ามีส่วนที่เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรม ซึ่งไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เกิดการทำงานผิดปกติเกิดการต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเองจนเกิดอาการปวดข้อ

ข้อแตกต่างจากการปวดธรรมดาก็คือ ในโรคนี้ การอักเสบนั้นเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นหากปล่อยให้โรคดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้จัดการกับสาเหตุ เนื้อเยื่อของข้อนั้นๆจะเกิดการอักเสบและกัดกร่อน ซึ่งนำไปสู่การผิดรูปของอวัยวะ

อาการของผู้ป่วยเป็นรูมาตอยด์ จะมีอาการปวดและบวมที่ข้อ โดยมากจะเริ่มต้นที่ข้อมือและข้อนิ้วมือก่อน ต่อมาอาจลามไปยังข้ออื่นๆ ทั่วร่างกาย เช่น ข้อศอก, ข้อไหล่, ข้อนิ้วเท้า, ข้อเท้า และข้อเข่า เป็นต้น

การรักษาโรครูมาตอยด์ ทำได้ 2 วิธี ดังนี้

1. การรักษาแก้อาการปวดและอักเสบ
2. การรักษาป้องกันไม่ให้ข้อเสื่อมสลายจนพิการ

เมื่อปวด ก็ต้องให้ยาแก้ปวด หมอมักรักษาไปตามอาการ แล้วดูว่ายาแก้ปวด แก้อักเสบจะได้ผลไหม ซึ่งถ้าเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ก็ให้ยาจำพวกนี้ไปก่อนได้ แต่ถ้าเป็นรูมาตอยด์จริงๆ พอหมดฤทธิ์ยา ก็จะกลับมาปวดใหม่อยู่ดี แพทย์ก็จะค่อยๆ ค้นหาโรคว่าตกลงแล้ว ปวดข้อจากสาเหตุอะไรกันแน่

ยากลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “ดีมาร์ท” DMARDs เป็นยาหลักที่จะต้องให้ในคนที่เป็นรูมาตอยด์ (ถ้าให้ได้) เพราะการให้ยากลุ่มแรกพวกแก้ปวดอักเสบ ต่อให้ให้ยาจนไม่ปวดเลยก็จะยังมีความพิการอยู่ดี การให้ยาในกลุ่ม DMARDs นี้จะช่วยทำให้โอกาสพิการลดลงได้ค่ะ

บางคนที่ถามว่าแล้วให้ยาไปเลยไม่ได้หรือ “กันไว้ดีกว่าแก้” ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ค่ะ เพราะเจ้ายาในกลุ่ม DMARDs นี้เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่มีพิษต่อเซลล์สูง คล้ายๆ กับพวกเคมีบำบัดหรือการให้คีโมในผู้ป่วยมะเร็ง การให้ไปจะมีผลข้างเคียงได้สูง ซึ่งแพทย์ที่จะให้ก็ต้องชั่งน้ำหนักเอาว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะใช้ จากนั้นเมื่อแพทย์ชั่งน้ำหนักแล้วว่าเหมาะที่จะใช้ ผู้ป่วยเองก็ต้องร่วมตัดสินใจด้วยว่าจะเลือกเอาอะไรระหว่างเสี่ยงจากผลข้างเคียงของยา กับ เสี่ยงจากผลของโรค

แล้วถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรต่อ สิ่งที่ทำได้ก่อนจะทำการวินิจฉัยโรคนี้มีดังต่อไปนี้

1. อย่าเปลี่ยนหมอหรือโรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะว่าส่วนมากแล้วอาการของโรครูมาตอยด์จะไม่ได้มาครั้งเดียวครบหมด แต่มักจะค่อยๆ โผล่มาทีละอย่างสองอย่าง … ผลเลือดบางครั้งเจาะแล้วอาจจะเจอหรือมีผลอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นแล้ว ถ้าเปลี่ยนที่รักษาบ่อยๆ ก็เท่ากับว่าต้องไปเริ่มใหม่ โอกาสที่จะวินิจฉัยได้ถูกต้องก็จะน้อยลงไป หากอยากจะเปลี่ยนที่รักษาก็ขอให้แพทย์ที่รักษาเขียนรายละเอียดที่สำคัญลงไป

2. อย่าซื้อยาชุดยาลูกกลอนมากินเอง เพราะยาชุด ยาลูกกลอนในท้องตลาด มากกว่า 50-90% มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งเจ้าสเตียรอยด์นี้จะลดอาการปวดอักเสบได้ดี รวมทั้งกดอาการของโรคข้อรูมาตอยด์ จึงทำให้การวินิจฉัยล่าช้า ที่สำคัญคนที่ได้สเตียรอยด์อย่างเดียว แม้หายปวดแต่ก็จะมีผลแทรกซ้อนมากมายร่วมกับมีความพิการตามมาได้ภายหลัง

3. สังเกตอาการ มีอะไรแปลกๆ บอกหมอทันที เพราะบางครั้งคุณอาจจะยังมีอาการไม่ครบในช่วงแรก แต่ถ้าเวลาผ่านๆ ไปแล้วเกิดอาการมันครบถ้วนขึ้นมาในภายหลัง การไปให้แพทย์ยืนยันก่อนเริ่มการรักษา อีกเหตุผลก็เพราะว่าความน่ากลัวของโรคนี้ยังมีอีก คือ บางครั้งอาการเหมือนๆ รูมาตอยด์ แต่ปรากฎว่าเป็นโรคอื่น เช่น เก๊าท์ ข้อติดเชื้อ หรือโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE ดังนั้น ถ้ามีลักษณะแปลกๆ ก็ควรบอกให้แพทย์ทราบค่ะ

4. ไปตามนัดเรื่อยๆ สม่ำเสมอ การตรวจและการรักษาโรคกลุ่มข้ออักเสบไม่ว่าจะเป็นรูมาตอยด์หรือไม่ก็ตาม การไปตามนัดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าการรักษาและการตรวจจะมีขั้นตอนค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

 

โรงพยาบาลธรรมชาติ

๑. ไขมันในเลือดสูง
แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

๒. ปวดหัว
ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและ กินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย
ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม หอม พริกให้มากเข้าไว้

๔. ภูมิแพ้
แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น
หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

๖.โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง
กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดงต้นหอมและเอาหอมซุก ไว้ใต้หมอน

๘.ไขข้ออักเสบ
หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

๙.กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย
ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก
ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

๑๑.ท้องผูก
ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ และให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมากๆ เช้า เย็น

๑๒.โรคกระเพาะอาหาร
หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระหล่ำปลีให้มาก

๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย
ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน
ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้

๑๕.หงุดหงิดง่าย
ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

๑๖.กระดูกพรุน
ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก (แมงกานีส)

๑๗.ความจำไม่ดี
ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

๑๘.มะเร็งเต้านม
ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด

๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ
ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน
กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ
กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชา ให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

๒๒.ความดันสูง
ต้องงดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

๒๓.เบาหวาน
ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

โรงพยาบาลธรรมชาติ
หัวจรดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ

การอักเสบ: ภัยเงียบในร่างกาย กันไว้ดีกว่าแก้

cytokine storm effect

เกือบจะทุกคนที่ไปร้านขายยา เภสัชกรประจำร้านก็จะถามว่า ต้องการยาอะไร? คนที่ไปซื้อยาก็มักจะตอบเป็นคำตอบแรกว่า ต้องการยาแก้อักเสบ แม้แต่หมอเอง เมื่อจ่ายยาให้คนไข้ บางครั้งก็เขียนคำว่า แก้อักเสบ

แล้วการอักเสบมันคืออะไร ?

การอักเสบ หรือ inflammation เป็นขบวนการที่ร่างกายเรามีปฏิกิริยาตอบสนอง ต่อขบวนการที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายในระดับโมเลกุล การอักเสบจะเริ่มต้นจาก ต้นตอของการอักเสบ ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวกระตุ้น หรือ inducer จากนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี เป็นวิถีของการอักเสบ หรือ inflammation cascade โดยมีเอ็นไซม์ ย่อยไขมันส่วนที่อยู่บนผิวเซลล์ ทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับโมเลกุล ที่มีการกระจายตัวออกไปเป็นสายธารหรือ pathway ซึ่งต้องอาศัยเอ็นไซม์ในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น delta-5-desaturase, COX1, และ COX2 เป็นต้น

ในที่สุดก็ได้เป็นสารสื่ออักเสบ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวมาบริเวณที่มีการอักเสบมากขึ้น ทำให้มีการไหลออกของน้ำในเนื้อเยื่อมากขึ้น ทำให้เกิดการบวม อุณหภูมิเพิ่มมากขึ้น บริเวณที่มีการอักเสบภายนอกร่างกาย ก็จะเห็นว่ามันมีสีแดง ๆ ดังนั้น การอักเสบก็จะมีลักษณะ ปวด บวม แดง ร้อน

ในระดับของเซลล์ เม็ดเลือดขาวบริเวณที่มีการอักเสบ จะสร้างและปล่อยสารสื่ออักเสบออกมามากมาย เพื่อเรียกเม็ดเลือดขาวให้มาบริเวณนั้นมากขึ้น เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม และเชื้อโรคต่าง ๆ สารสื่ออักเสบที่สร้างและปลดปล่อยออกมา นั้น ที่สำคัญ ๆ คือสารพวก cytokines ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Interleukin-1 Beta และ Tumor Necrosis Factor – alpha (TNF – alpha) ถ้าเกิดขึ้นที่ปอด ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมปอดได้ และเมื่อมีเม็ดเลือดขาวมาบริเวณที่มีการอักเสบ เยอะๆ ทำให้มีการสร้างและปล่อยเอ็นไซม์ที่ไปทำลายเชื้อโรคและเนื้อเยื่อใกล้เคียงได้ รวมทั้งทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้อย่างมากมาย

ผลต่อมาคือการแตกสลายของเนื้อเยื่อ เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นภายนอกร่างกายเรา เราสามารถสังเกต และรักษา ตลอด จนดูแลได้ง่าย เพราะสามารถสังเกตเห็นได้ทันที รักษาได้ทันที ทราบทันทีว่ามีอาการดีขึ้นหรือไม่

แต่ถ้ามีการอักเสบที่มากเกินไปเกิดขึ้นในร่างกายล่ะ จะเป็นอย่างไร ?

ซึ่งก็พบว่า ถ้ามีการอักเสบเกิดขึ้นแบบเรื้อรังภายในร่างกายเรา จะทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ต่างๆ เช่น โรคข้อกระดูกอักเสบ ข้อเสื่อม เบาหวาน มะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน กระดูกพรุน โรคกระเพาะ และอื่นๆ อีกมากมาย

จากการศึกษาวิจัย พบว่า มีสารสมุนไพรไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น งานวิจัยที่ได้ทำอยู่ที่หน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด โดย รศ. ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ ได้ค้นพบว่าสารสกัดจากงา คือ เซซามิน (Sesamin) มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่สามารถต้านการอักเสบ โดยไปยับยั้งที่เอ็นไซม์ delta-5-desaturase, ยับยั้งการแสดงออกของยีน IL-1 Beta และ TNF-alpha ที่เป็นสาเหตุของ cytokine storm กระตุ้นการสร้าง Interleukin-2 และ Interferon-gamma (IFN Gamma) และเพิ่มการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น การสังเคราะห์เส้นใยคอลลาเจน และ กรด ไฮยาลูโรนิกแอซิก รวมทั้ง Bone Mophorgentic Protein-2 (BMP-2) เป็นต้น

ดังนี้ จึงทำให้งา และสารสกัดจากงา มีคุณสมบัติเป็นอาหารเสริม ดูแลสุขภาพ ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิต้านทานโรค ลดการอักเสบ ได้เป็นอย่างดี

จงกล้าที่จะล้มเหลว

“หากคุณต้องการสำเร็จหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว”
โทมัส วัตสัน จูเนียร์ – ผู้ก่อตั้ง IBM

ผู้ประสบความสำเร็จ จากต่างวงการ
ต่างคนละฝั่งโลก พูดตรงกันเลยใช่ไหมครับ

หลายครั้งที่เราพบคนที่ต้อง “รอ” ให้ทุกอย่าง “พร้อม” ก่อน
แต่สุดท้าย ก็ไม่ลงมือทำอะไรเลย!

กาลเวลาที่เสียไปโดยไม่ทำอะไรนั้น เสียหายยิ่งกว่าการล้มเหลวซะอีก

เพราะถ้าไม่ล้มเหลว คุณก็ไม่ได้ประสบการณ์ ชีวิตก็ไปไหนไม่ได้
ดังเช่น ไอนสไตน์ บอกว่า…
“แหล่งความรู้เพียงอย่างเดียวของเราคือ ประสบการณ์”

แต่ถ้าจะล้มเหลว จง “เลือก” เส้นทางล้มเหลว
ที่มีทางถอยกลับด้วย หมายความว่า
เมื่อจะทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม วางแผนกลยุทธ์ใดๆ ก็ตาม
ควรถามตนเองเสมอๆ ว่า…

“สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น คืออะไร !?!”

เมื่อได้คำตอบแล้ว จงเดินหน้าทันที!
และถ้าสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นจริง เราก็เตรียมพร้อม “วิธีแก้” ไว้แล้ว!

ผมเลือกทำธุรกิจเครือข่าย ก็เพราะว่า
มันเป็น “ระบบ” ธุรกิจ ที่สามารถ “ล้มเหลว”
ได้ “บ่อย” มากที่สุด ธุรกิจหนึ่งเลยทีเดียว…
ผมล้มเหลวกับหลายบริษัท แต่ไม่เคยโทษสิ่งรอบตัว
ทั้งบริษัท อัพไลน์ ระบบบริหาร ผู้นำ แผนการตลาด การเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

ทุกครั้งที่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่ว่าจาก บริษัท หรือ ตัวผมเอง..
ผมจะถามตนเองว่า “ผมได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนั้น !?!”
และผมจะเดินหน้าต่อทันที!

แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ เมื่อเกิดล้มเหลวขึ้น คุณทำอย่างไร !?!

Cr.K.Sun Pharma

apply now