รู้จักกับ “ข้าวสีนิล”

ข้าวสีนิล

“ข้าวสีนิล” ข้าวเมล็ดสีม่วงดำสวยแปลกตา รสสัมผัสหนึบหนับ ใครจะรู้หรือไม่ว่าเป็นอาหารอันทรงคุณค่า มากด้วยคุณประโยชน์ แถมยังแปรรูปได้หลากหลาย เรามารู้จักเจ้าข้าวสีนิลนี้ให้มากกว่าเดิมกันค่ะ

ข้าวสีนิลลักษณะเด่น คือ มีสีม่วงเข้ม ข้าวสีม่วงเข้มจนเกือบดำ ซึ่งเป็นสีของสารรงควัตถุ ที่อุดมไปด้วย “แอนโทไซนานิน” และ “โปรแอนโทไซยานิน” ที่อยู่ในส่วนของปลายจมูกข้าว ทำงานร่วมกันต้านอนุมูลอิสระ โดยปกติ “แอนโทไซนานิน” และ “โปรแอนโทไซยานิน” จะพบมากในพืชหรือผลไม้ที่มีสีม่วง ยิ่งสีเข้มมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีขึ้นตามลำดับ แต่จากงานวิจัยพบว่า ในข้าวสีนิล มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าผลไม้ในตระกูลเบอรี่ถึง 3 เท่า

แอนโทไซยานิน ทำงานได้ดีกว่า วิตามิน E ถึง 5 เท่า ช่วยยับยั้งริ้วรอยอันเกิดก่อนวัย สารสกัดแอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ รายงานการวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่าในสัตว์ทดลอง แอนโทไซยานินสามารถกระตุ้นให้ขนงอกกลับคืนมาเร็วกว่าตัวเปรียบเทียบที่ไม่ได้ใช้สารถึงถึงเท่าตัวเลยทีเดียว การศึกษาในหลอดทดลองยืนยันว่า สารแอนโทไซยานิน กระตุ้นให้เซลล์รากผมสร้างผมมากขึ้นถึง 3 เท่า นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ผมมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้ผิวหนังดูอ่อนกว่าวัยและลดความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากแสงอัลตร้าไวโอเลท (แสงแดดและไฟนิออน)

โดยในการทดลองเดียวกันพบว่า สารแอนโทไซยานินเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินอีจะช่วยให้การทำงานของมันดีขึ้นเพราะ สาร Anthocyanin จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหนังไม่ให้ปลดปล่อยอิลาสตินเป็นผลให้ผิวหนังไม่สูญเสียความยืดหยุ่น ดังนั้น เราจะคงความหนุ่ม-สาวอ่อนกว่าวัย ดูดี เอาไว้ได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้นนั่นเอง

รู้อย่างนี้แล้วคงต้องรีบไปลองหามารับประทานดูแล้ว จะได้หน้าใส ผิวเด้งก่อนใคร แต่ถ้าไม่รู้จะไปหาทานจากไหน ก็สามารถทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนผสมของงาดำและข้าวสีนิลอยู่ ทานง่ายในรูปแคปซูล บำรุงสุขภาพให้สวยจากภายใน สู่ภายนอกกันเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ, ดร.นิธิยา รัตนาปนนท์

คุณค่าคูณสอง เมื่อ “งาดำ”+“ข้าวสีนิล”

black sesame and riceหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักธัญพืชสีดำ 2 ชนิด อย่าง “งาดำ และ ข้าวสีนิล” ธัญพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ นอกจากใช้เป็นอาหารได้แล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเชื่อว่า ถ้าใครได้รู้จักแล้วต้องหลงรักอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งด้วยค่ะ

ทำความรู้จักกับ… ข้าวสีนิล

ข้าวสีนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือกจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาว สีม่วงเข้ม สารสกัดจากรำข้าวหอมนิล อุดมไปด้วย น้ำมันธรรมชาติ, วิตามินอี และบี คอมเพล็กซ์ และรงควัตถุแอนโทไซยานิน (anthocyanin) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากว่าในเบอร์รี่ 3 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 5 เท่าซึ่ง ช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย เรียกว่าลืมเรื่องริ้วรอยก่อนวัยอันควรไปเลย เพราะสารต้านอนุมูลอิสระลดความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากขบวนการออกซิเดชั่น (oxidation) ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดขบวนการออกซิเดชั่น คือ รังสีอัลตร้าไวโอเลต ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ อาทิ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยทำให้เส้นผมดำ นุ่มสลวย ช่วยบำรุงรากผมให้พร้อมกระตุ้นให้ผมมีสีเข้มขึ้นตามธรรมชาติ ชะลอการเกิดผมหงอกก่อนวัยอันควร

มาทำความรู้จักกับ งาดำ กันบ้าง…

งาดำ ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae จัดเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงมาก มีเซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นการรับมือโดยตรงกับอนุมูลอิสระตัวร้ายที่ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวนั่นเอง ช่วยให้นอนหลับ ช่วยให้ไม่โทรม ดูมีเลือดฝาด และดูดีได้

รู้หรือไม่? ว่า..ธัญพืชสีดำสองชนิดถูกนำมารับประทานคู่กันจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Super Antioxidant”

ธัญพืชสีดำเมล็ดเล็กๆ สองตัวนี้ แม้จะดูมีหน้าที่คล้ายๆ กัน แต่การได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารหลายๆ ประเภท จะให้ผลในการป้องกันมากกว่าการได้รับจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง เนื่องจากมีฤทธิ์สร้างเสริมกัน ทำให้ธัญพืชที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อได้รับประทานร่วมกัน

โดยฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระในงาดำ มาจากสารเซซามิน ส่วนข้าวสีนิลมาจากแอนโทไซยานิน ในส่วนของรำข้าว ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่เข้าไปจับอนุมูลอิสระ ไม่ให้มาทำร้ายเซลล์ในชั้นผิว ดังนั้น ทั้งงาดำและข้าวสีนิลจึงถูกให้ฉายาว่าเป็นราชาและราชินีแห่งธัญพืชในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานงาดำคู่กันกับข้าวสีนิลจึงเป็นการส่งผลแบบทวีคูณเป็น Super Antioxidant ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอย และ บำรุงให้ผิวดูอ่อนเยาว์ดูดีแบบดับเบิ้ลได้ง่าย ๆ ทุกวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมการข้าว, sininrice.com, Chrispeels, M.L. and E.S. Davidd

สำหรับคนที่รู้สึกว่าหา งาดำและข้าวสีนิลที่จะรับประทานคู่กันยากลำบาก ปัจจุบันมีผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนประกอบสำคัญ 3 อย่าง คือ งาผง (Sesame Cake) รำข้าวสีนิล (Black Rice Bran) และ แป้งข้าวหอม (Pre-Cooked Rice :PCR) ซึ่งมีอัตราส่วนการผสมที่ลงตัว ผ่านการวิเคราะห์วิจัย จากห้องแลปทันสมัย จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย รศ.ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ และทีมงาน ค้นคว้าวิจัยจนได้สูตรผสมที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งให้คุณประโยชน์เต็มๆ มากกว่าการรับประทานข้าวสีนิลและงาดำทั่วไปซะอีก และยังสามารถหาซื้อได้ง่ายและทานได้ทุกวัน ไม่มีสารตกค้างอีกด้วย ลองดูนะคะ

สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์งาดำและรำข้าวสีนิลได้ที่ www.baannumjai.com
หรือแอดไลน์ @baannumjai  คุยกับเรานะคะ

 

 

เก็บรักษา วิตามิน ให้คงสภาพดี

vitamins

ปัจจุบันหลายคนมักจะซื้อวิตามิน โดยซื้อวิตามินชนิดต่างๆ มาเก็บไว้รวมๆ กัน บางครั้งวิตามินเหล่านั้นเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม สีเปลี่ยนไป บางเม็ดเนื้อยาเริ่มยุ่ย กินยังไม่ทันหมดราคาก็แพง ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเก็บไม่ถูกวิธี

วิธีการเก็บรักษาที่ถูกต้องเพื่อให้วิตามินนั้นๆ มีสภาพดีอยู่ได้นาน ๆ ไม่เสื่อมสภาพได้ง่ายๆ คือ

1. เก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ไม่ควรเก็บไว้ในบริเวณที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ดูที่ฉลากถ้าไม่ได้บอกว่าเก็บในตู้เย็น ก็ไม่ควรเก็บในตู้เย็น เพราะการเก็บในตู้เย็นอาจจะทำให้วิตามินมีความชื้นได้และเสื่อมสภาพได้ง่าย ยกเว้นถ้าฉลากบอกว่าให้เก็บในตู้เย็น ก็ให้เก็บไว้ช่องหรือบริเวณที่ให้ความเย็นตามปกติ ไม่ควรใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง

2. เก็บวิตามินไว้ในที่แห้ง วิตามินทั้งชนิดเม็ดหรือแคบซูลให้เก็บไว้ในที่แห้ง เพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีความชื้น เช่น ใกล้กับห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะความชื้นทำให้ลักษณะทางด้านกายภาพของวิตามินทั้งชนิดเม็ดและแคบซูลเปลี่ยนแปลงเสื่อมสภาพลงได้เร็ว หรือเก็บไว้ในตู้กับข้าว เนื่องจากในครัวส่วนใหญ่อากาศจะร้อนและมีความชื้นมาก ทำให้วิตามินเสื่อมสภาพได้ง่าย

3. เก็บวิตามินไว้ในที่ไม่มีแสงแดด ทั้งนี้เพราะแสงแดดมีผลต่อสภาพความคงทนของวิตามิน และแสงแดดยังทำลายสารที่เป็นองค์ประกอบทางด้านเคมีของวิตามินได้

4. ปิดฝาขวดให้สนิททุกครั้งที่เปิด เพราะอากาศ ความชื้น สามารถผ่านเข้าไปในขวดและทำลายประสิทธิภาพของวิตามินนั้นๆได้

5. ควรเก็บไว้ในขวดแก้ว เพราะขวดแก้วมีความคงทนต่อสารเคมีต่างๆ ของวิตามินได้ดีกว่าขวดที่เป็นพลาสติก หรือกล่องกระดาษแข็ง

6. ไม่ควรเก็บวิตามินหลาย ๆ ชนิดไว้ในขวดเดียวกัน เพื่อป้องกันเนื้อของวิตามินทำปฏิกิริยาต่อกัน และเพื่อป้องกันความสับสนในการกิน เพราะว่าวิตามินบางชนิดมีทั้งสี และรูปร่างคล้ายคลึงกัน

7. เก็บให้พ้นจากมือเด็ก เนื่องจากวิตามินบางอย่างมีลักษณะ สี รสชาติ คล้ายกับขนมหรือลูกกวาด เด็ก ๆ อาจจะเข้าใจผิดหยิบไปกินเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้

วิตามินที่เสื่อมสภาพ

วิตามินที่เก็บไว้นานๆ ย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา บางชนิดเสื่อมสภาพเร็ว บางชนิดเสื่อมสภาพช้า วิตามินทั่วๆ ไปหากเก็บรักษาอย่างถูกก้อง จะเก็บได้นานประมาณ 2 – 3 ปี อย่างไรก็ตามก่อนจะนำมากินก็ให้สังเกต พิจารณาเสียก่อนว่าเสื่อมสภาพไปแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพราะการกินวิตามินที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้วยังทำให้เกิดอันตรายต่อผู้กินอีกด้วย

วิธีสังเกตวิตามินว่าเสื่อมสภาพหรือยัง เช่น

1. วิตามินชนิดเม็ด ถ้าเสื่อมสภาพวิตามินจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม สีซีด เม็ดแตกร่วนง่าย มีจุดด่าง มีราขึ้นที่เม็ดวิตามิน กลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดปกติไปจากเดิม

2. วิตามินชนิดเม็ดเคลือบ เช่น วิตามินรวมประเภทต่างๆ เมื่อเสื่อมสภาพจะมีลักษณะเม็ดเยิ้ม เหนียว เนื้อนิ่ม

3. วิตามินชนิดแคบซูล เช่น วิตามิน อี เมื่อเสื่อมสภาพแคบซูลจะมีลักษณะบวมพอง มองเห็นชัดเจน หรือน้ำในแคลซูลเปลี่ยนสีต่างไปจากเดิม

4.วิตามินชนิดอิมัลชั่น สังเกตการเสื่อมสภาพจากเมื่อเขย่าแล้ว จะไม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะแยกเป็นชั้น หรือเขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม ลักษณะข้นมาก กลิ่น สี และรสเปลี่ยนไป

5. วิตามินชนิดน้ำเชื่อม ส่วนใหญ่เป็นวิตามินสำหรับเด็ก ถ้าเสื่อมสภาพหมดอายุ จะมีลักษณะขุ่น ตกตะกอน สีเปลี่ยน กลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

จากข้อแนะนำเหล่านี้ คงจะเป็นประโยชน์ในการที่จะเก็บรักษาวิตามินด้วยวิธีที่ถูกต้องรวมทั้งข้อสังเกตวิตามินที่เสื่อมสภาพ หมดอายุ ต้องทิ้ง เพราะเมื่อนำมากินจะเกิดโทษต่อร่างกายได้

บทความ โดย สุนทร ตรีนันทวัน
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.

 

พยาธิสภาพของการกระดูกอ่อนเสื่อม

slide6

พยาธิสภาพของการเป็นโรคกระดูกอ่อนเสื่อม… โรคข้อกระดูกเสื่อม หรือ osteoarthritis มีลักษณะการเป็นโรคที่เรื้อรัง โดยจะมีการทำลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนบริเวณข้อกระดูกที่รับน้ำหนักมากๆ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุที่มีการเริ่มต้นของโรคจากการสูญเสียโครงสร้างที่แข็งแรงของกระดูกอ่อน

เมื่อเกิดโรคขึ้น ส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ โดยอาจจะพบว่ามีการอักเสบที่ใดที่หนึ่ง แล้วทำให้มีการสูญเสียกลไกของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนต่อไปได้ ทำให้มีการสลายกระดูกอ่อนในทีสุด เกิดเป็นโรคข้อเสื่อมเนื่องจากมีการทำลายเนื้อเยื่อมากกว่าการสร้าง

โรคข้อเสื่อมอาจจะเริ่มต้นมาจากอาการของเอ็นกระดูกได้ เช่น stretch หรือ loosen ligaments ซึ่งเป็นสาเหตุของการที่กระดูกไม่เสถียร (unstable) ทำให้กระดูกเคลื่อนที่ได้มากเกินไปหรือเป็นอิสระ ทำให้เกิดแรงเสียดทานขัดสีกันของกระดูกอ่อนมากกว่าที่เป็นปกติ ในทีสุดกระดูกอ่อนก็เสื่อมสลาย ข้อกระดูกมีผลปรับสมดุลย์เพื่อให้เกิดการเสถียรมากขึ้นทำให้มีการงอกหรือเจริญของกระดูกเกิดขึ้น ข้อกระดูกเสื่อมมีลักษณะซับซ้อนมาก เพียงแค่มีการสลายของกระดูกอ่อนก็จะทำให้เกิดการล็อกหรือยึดติดของข้อกระดูกได้

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของโรคข้อเสื่อม เช่น ความอ้วน การออกกำลังกายหนักมากเกินไป การอักเสบหรือบาดเจ็บของข้อกระดูก และการขาดวิตามินดี รวมทั้งสาเหตุจากกรรมพันธุ์

จากสถิติจะพบโรคข้อเสื่อมในผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีมากกว่าผู้หญิง แต่จะพบในผู้หญิง ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมากกว่าผู้ชาย