การนอนเร็วนั้นสำคัญไฉน

การนอน

โดย นพ.กฤษดา เล่าให้ฟังถึงผลเสียของการนอนดึกว่า ทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมเร็วขึ้น ทั้ง สมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ และภูมิคุ้มกันร่างกาย แต่ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ตั้งแต่ 4 ทุ่มเป็นต้นไปจนถึงก่อนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นนาทีทอง ก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 10 ประการ แบบนี้เลย

1. สมองสร้างเคมีสุข

อย่างที่รู้ว่า สมองเป็นหัวเรือใหญ่ในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังมอบรางวัลให้ร่างกาย ทั้ง เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน) และฮอร์โมนเพศ แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย

2. สร้างเคมีหนุ่มสาว

ปกติแล้ว เคมีหนุ่มสาวที่เรียกว่า “โกรทฮอร์โมน” จะค่อย ๆ ลดลงตามวัย รวมทั้งการนอนดึกก็ทำให้โกรทฮอร์โมนน้อยลงไปด้วย แต่ถ้าเราเข้านอนเร็ว สักราว 4 ทุ่ม สมองจะช่วยผลิตโกรทฮอร์โมนธรรมชาติให้ สรุปว่ายิ่งเราหลับไว หลับสนิท เราก็ยิ่งดูอ่อนเยาว์นะ

3. ความจำดีขึ้น

การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำ, สมาธิและอุบัติเหตุมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง ดังนั้น ต้องนอนให้เต็มอิ่มจะได้เป็นการชาร์จแบตให้สมอง พร้อมรับความจำใหม่ ๆ

4. คุมความดันโลหิตได้

การนอนหลับเร็วจะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีวิวิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อน ช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน

5. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ

คนก็เหมือนเครื่องยนต์ ทำงานมาหนักก็ต้องหยุดพักบ้างจริงไหม ซึ่งการนอนก็เหมือนเข้าอู่ซ่อมรถ ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลายตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง

6. ลดความเสี่ยงโรคอ้วน

ทำไมนะหรือ? ก็เพราะถ้าเรานอนเร็วจะทำให้เราไม่หิวกลางดึกจนกินดุตามมาไงล่ะ นอกจากนั้น ยังมีกลไกดับหิวด้วยการสร้างเคมีดับหิวขึ้นมา ทำให้การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาในร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย

7. มีความสุขง่ายขึ้น

ยิ่งอดนอนสมองของเราก็ยิ่งอึมครึม ทำให้ขาดสมาธิ ความจำก็ไม่ดี อะไรมากระทบนิดกระทบหน่อยก็หงุดหงิดอารมณ์เสียแล้ว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ แต่ถ้าเราลองนอนให้เร็วขึ้น เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมองได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะรก็มีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะ

8. ได้ล้างพิษ

เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น ลองสังเกตดูสิ ถ้าใครชอบอดนอน หรือนอนดึก นอกจากหน้าตาดูหม่นหมองแล้ว ยังมีปัญหาท้องผูกด้วย นั่นเพราะส่วนหนึ่งของพิษมาจากการนอนดึก เพราะฉะนั้น สาว ๆ ที่ชอบปวดรอบเดือนบ่อย ๆ ให้นอนให้เร็วขึ้น จะช่วยคุมเคมีปวดได้มาก

9. ไม่เสี่ยงโรคกำเริบ

เครื่องยนต์ที่ทำงานเกินเวลาก็เสียได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่ไม่ยอมพักผ่อน ไม่ยอมหลับยอมนอน ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียก็อาจทำให้โรคที่พกอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ พากันแผลงฤทธิ์ขึ้นได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง

10. ช่วยป้องกันแก่

ไม่อยากแก่รีบชวนกันนอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะแค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้สนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชราได้ด้วย

ข้อดีของการเข้านอนเร็วมีมากขนาดนี้ รีบปรับพฤติกรรมของตัวเอง แล้วทำตามคำแนะนำของ นพ.กฤษดา ศิรามพุช กันเลยนะ เพราะนี่แหละคือรางวัลจากธรรมชาติที่ต้องไขว่คว้ากันเอง เคล็ดลับเติมวิตามินจากธรรมชาติแบบนี้ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเลย

รู้ไว้ รู้ทัน พฤติกรรมทำลายกระดูก

ทำลายกระดูก

ปัญหาสุขภาพกระดูกเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โภชนาการที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย หรือจากรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว ทั้งหมดนี้ทำให้คุณต้องเผชิญกับปัญหาความผิดปกติ อันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่อาการปวดหลังและคอ ไปจนถึง โรคกระดูกสันหลังเสื่อม โรคกระดูกสันหลังคดงอผิดปกติ หรือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเหล่านี้ มักเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวันนั่นเอง และนี่คือพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากคุณไม่อยากเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพกระดูกที่จะตามมา

อยากให้กระดูกแข็งแรง อยู่กับเราไปนาน ๆ อย่าทำลายกระดูกด้วยวิธีเหล่านี้ กันเลยค่ะ

1. นั่งไขว่ห้าง
จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

2. นั่งหลังงอ หลังค่อม
เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

3. ยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

4. ใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง
จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

5. หิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ
จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

6. นั่งกอดอก
จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้

7. นั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น
จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว

8. ยืนแอ่นพุง/หลังค่อม
การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง

9. สะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว
ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

10. ขดตัว/นอนตัวเอียง
ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

ขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

 

แมมโมแกรมมะเร็งเต้านม มีโทษมากกว่าประโยชน์

งานวิจัยชี้แมมโมแกรมมะเร็งเต้านม  มีโทษมากกว่าประโยชน์

แมมโมแกรม1

ผลการวิจัยต่างประเทศล่าสุดชี้การตรวจหามะเร็งเต้มนมด้วย “ระบบแมมโมแกรม-เอ็กซ์เรย์” อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์

ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเอ็กซ์เรย์เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือการทำแมมโมแรมราวๆ 37 ล้านรายต่อปี และเกือบสามในสี่ของผู้หญิงในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป เข้ารับการทำแมมโมแกรมในช่วงปีที่ผ่านมา

คำถามที่นักวิจัยทางการแพทย์ต้องการหาคำตอบ คือ การตรวจพบมะเร็งเต้านมที่เล็กมากจนใช้มือคลำไม่พบ แต่ใช้ mammogram ตรวจพบนั้น ช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมอย่างได้ผลจริงหรือไม่

มีงานวิจัยเรื่องแมมโมแกรมที่กระทำในประเทศแคนาดา ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่สุดและละเอียดรอบคอบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง โดยมีผู้หญิงเข้าร่วมโครงการ 90,000 รายและใช้เวลาติดตามศึกษานานถึง 25 ปี

memmogram

และผลการวิจัยชิ้นนี้ที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจากโรคมะเร็งเต้านมและจากโรคอื่นๆ ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะได้รับการทำแมมโมแกรมหรือไม่ งานวิจัยชิ้นนี้กล่าวต่อไปด้วยว่า การทำแมมโมแกรมยังให้โทษได้อีกด้วย เพราะพบว่า หนึ่งในห้าของผู้ที่การทำแมมโมแกรมระบุว่าเป็นมะเร็งและต้องรับการบำบัดรักษานั้น ปรากฏว่ามะเร็งที่ตรวจพบ ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่จำเป็นต้องบำบัดรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด การผ่าตัด หรือการฉายรังสี

การตรวจหามะเร็งเต้านม

ผลการวิจัยนี้ตีพิมพ์ไว้แล้วในวารสาร British Medical Journal และคำตอบที่นักวิจัยได้จากงานชิ้นนี้ ก็คือ การตรวจพบมะเร็งเต้านมที่เล็กมากจนใช้มือคลำไม่พบ แต่ใช้แมมโมแกรมตรวจพบนั้น ไม่ได้เพิ่มความได้เปรียบให้กับผู้หญิง

ความเห็นเรื่องการทำแมมโมแกรมนี้แตกแยกกันเป็นสองฝ่ายมานานแล้วในวงการแพทย์ ฝ่ายหนึ่งซึ่งมีทั้งแพทย์และคนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านม เชื่อว่าการทำแมมโมแกรมเป็นประจำช่วยป้องกันการเสียชีวิต ในขณะที่นักวิจัยทางการแพทย์ ซี่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ให้ความเห็นว่า ไม่มีหลักฐานรองรับความเชื่อดังกล่าว หรือถ้ามี ก็เป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ

บทบรรณาธิการของวารสาร British Medical Journal ที่ตีพิมพ์ควบคู่กับผลงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวว่า งานวิจัยก่อนหน้านี้ กระทำกันขึ้นก่อนจะมียาอย่างเช่น Tamoxifen ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งได้อย่างมาก จึงทำให้การตรวจพบแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญน้อยลง

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงสมัยนี้มีความเข้าใจในอันตรายของโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และเอาใจใส่กับร่างกายของตนได้ดีกว่าและมากกว่าผู้หญิงในสมัยก่อน นอกจากนี้ งานวิจัยเป็นจำนวนมากไม่ได้ยึดถือมาตรฐานการทดลองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการสุ่มตัวอย่างจัดกลุ่มที่ได้รับการทำแมมโมแกรมกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการทำแมมโมแกรม

นักวิจัยยังพบด้วยว่า มีมะเร็งหลายชนิด ที่เติบโตอย่างเชื่องช้า หรือไม่เติบโตเลยและไม่ต้องบำบัดรักษา มะเร็งบางชนิดหดตัวลงเองหรือหายไปเลยก็มี ปัญหาก็คือ เมื่อทำแมมโมแกรมและพบมะเร็ง แพทย์ต้องให้การบำบัดรักษา เพราะไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่า จะเป็นมะเร็งอันตรายหรือไม่

อัตราการบำบัดรักษาในลักษณะนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นหนึ่งในสาม ถ้ารวมผลการตรวจพบมะเร็งในท่อน้ำนมในเต้านม ที่เรียกว่า Ductal Carcinoma in situ (D.C.I.S.) ซึ่งต้องใช้การทำแมมโมแกรมเท่านั้นจึงจะพบ ปัญหาก็คือมะเร็งชนิดนี้อาจจะหลุดออกจากท่อน้ำนมเข้าไปในเต้านม หรืออาจไม่เข้าไปเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจพบด้วยการทำแมมโมแกรม แพทย์มักจะทำการผ่าตัดถึงขั้นตัดเต้านมออก

อย่างไรก็ตามเรื่องควรจะรับการทำแมมโมแกรมหรือไม่นี้ยังไม่มีข้อยุติ ในเวลานี้มีแต่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ประเทศเดียวที่ออกมาแนะนำว่า ไม่ควรทำ ในขณะที่ American Cancer Society มีคำแถลงออกมาว่า กำลังทบทวนผลการวิจัยนี้และจะมีคำแนะนำที่ปรับเปลี่ยนออกมาให้ในเวลาต่อไปภายในปีนี้

ที่มาของบทความ:  http://www.theguardian.com/commentisfree/2014/apr/28/breast-cancer-mammograms-early-detection-research

ข้อแนะนำ

กันไว้ดีกว่าแก้  หากคุณผู้หญิงกลัวจะมีมะเร็งเต้านมเป็นของตัวเอง และไม่อยากเสี่ยงกับอันตรายจากรังสีในการตรวจแมมโมแกรม เราก็มีทางเลือก  คือการตรวจเต้านมด้วยตนเอง (ตามวิธีที่จะอธิบายต่อไป) หรือ ทานอาหารเสริม ที่มี สารสกัด “เซซามิน” ซึ่งเป็นสารสกัดจากงาดำ มีงานวิจัยรับรองว่า เซซามินช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง โดยทำให้เซลล์มะเร็งมีอายุสั้น (ทำให้เซลล์มะเร็งเข้าสู่วงจร Dead Cell) และควรทานอาหารเเสริมที่มีส่วนผสมของรำข้าวสีนิล ด้วย  ซึ่งจากงานวิจัยที่ใช้เทคโนโลยี่ ที่เรียกว่า high througput screening และในสัตว์ทดลอง พบว่า สารในกลุ่มของ anthocyanins 2 ชนิดคือ Peonidin-3-glucoside และ cyaniding-3-glucoside สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมชนิดที่มี Human epidermal growth factor receptor 2 (HER2) แสดงออกมากกว่าปรกติได้

วิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรทำอย่างสม่ำเสมอโดยทำการตรวจเดือนละ 1 ครั้ง ในช่วงตั้งแต่มีประจำเดือนประมาณ 7-10 วัน โดยเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือน หรือตรวจในช่วงที่รู้สึกว่าเต้านมนิ่มลง เนื่องจากในช่วงระยะเวลานั้นเต้านมจะไม่ตึงตัวมากจึงสามารถคลำก้อนได้ชัดเจน หรือคลำก้อนที่มีขนาดที่ยังเล็กได้โดยง่าย

ส่วนผู้ที่เข้าสู่วัยทองซึ่งประจำเดือนหมดไปแล้ว หรือได้รับการผ่าตัดมดลูกไปแล้ว ให้กำหนดวันที่แน่นอนสำหรับการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนเพื่อการจดจำง่าย และให้ตรวจวันเดียวกันของทุกเดือน เช่น วันที่ 1 ของเดือน หรือวันสุดท้ายของเดือน เป็นต้น

ขั้นตอนแรกของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ การสังเกตความผิดปกติด้วยการดูลักษณะภายนอกของเต้านม

การดู

การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

โดยให้ยืนตรงมือแนบลำตัว สังเกตลักษณะของเต้านมว่ามีการเปลี่ยนแปลงของหัวนมหรือไม่ ลักษณะของผิวหนังมีรอยบุ๋ม มีก้อนนูน ผิวหนังบวม มีแผลหรือมีเส้นเลือดสีดำใต้ผิวหนังมากเพิ่มขึ้นที่ผิดปกติหรือไม่

การดูให้สังเกตเปรียบเทียบเต้านมทั้งสองข้างว่าแตกต่างผิดไปจากเดิมหรือไม่ด้วย ทำการหันตัวเล็กน้อยเพื่อสามารถมองเห็นด้านข้างของเต้านมทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและรอยบุ๋มเช่นเดียวกัน

การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง2

จากนั้นให้ยกมือขึ้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อสังเกตความผิดปกติของรอยบุ๋มของผิวหนังบริเวณเต้านมที่เกิดจากการดึงรั้ง เนื่องจากในรายที่เป็นมะเร็งอาจจะมีการดึงรั้งของเนื้อเยื่อให้เกิดรอยบุ๋มได้

การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง3

เอามือท้าวสะเอวเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกตึงตัว แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้สังเกตรอยดึงรั้งของผิวหนังได้ง่ายขึ้น เมื่อไม่พบความผิดปกติจากการสังเกตดูที่เต้านมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคลำที่เต้านม

การคลำ

การคลำตรวจมะเร็งเต้านม1การตรวจเต้านมควรทำทั้งในท่านั่งและท่านอน สิ่งที่สำคัญของการตรวจ คือ การตรวจให้ทั่วพื้นที่ของบริเวณเต้านม โดยใช้ด้านฝ่ามือของนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง บริเวณค่อนไปทางปลายนิ้ว เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไวต่อการสัมผัส การคลำเต้านมจะต้องคลำให้ทั่วทั้งพื้นที่ของเต้านม ในลักษณะคลึงวนเป็นก้นหอยเล็ก ๆ ไปตามเต้านม เนื่องจากตำแหน่งของเต้านมที่อยู่บนผนังทรวงอกเป็นตำแหน่งที่สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมได้

การคลำตรวจมะเร็งเต้านม2สังเกตความผิดปกติว่ามีของเหลว หรือเลือดออกจากหัวนมในขณะที่กดบริเวณปานนมหรือไม่ การบีบบริเวณหัวนมควรทำด้วยความนิ่มนวล ไม่ควรบีบเค้นบริเวณหัวนมอย่างรุนแรง เพราะหากมีความผิดปกติจะพบว่ามีน้ำหรือเลือดออกจากหัวนมเมื่อมีการกดโดยไม่ต้องบีบเค้น

การคลำตรวจมะเร็งเต้านม3ในท่านั่ง ใช้นิ้วมือคลำบริเวณเต้านม ส่วนที่อยู่ใต้รักแร้ว่ามีก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองที่โตผิดปกติหรือไม่ โดยการห้อยแขนลงมาเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกหย่อนลง เนื่องจากหากกล้ามเนื้อตึงเกินไปจะไม่สามารถคลำรักแร้ได้อย่างชัดเจน

การคลำตรวจมะเร็งเต้านม4

จากนั้นทำการตรวจโดยการนอนบนที่นอนยกแขนหนุนศีรษะ ในท่านี้อาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วน หรือใช้หมอนขนาดเล็กสอดรองที่บริเวณหลังและไหล่ข้างที่ต้องการตรวจ เพื่อทำให้บริเวณทรวงอกด้านนั้นแอ่นขึ้นมาเล็กน้อย จะสามารถคลำได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น

การคลำตรวจมะเร็งเต้านม5การคลำเต้านม จะใช้นิ้วมือ 3 นิ้ว คลำในลักษณะคลึงวนเป็นก้นหอยเล็ก ๆ บริเวณเต้านมให้ทั่วทั้งเต้านม ในระดับความแรง 3 ระดับ คือ ระดับตื้นลงไปจากผิวหนังเล็กน้อย ระดับที่ลึกลงไป และระดับที่ลึกถึงผนังหน้าอก โดยทิศทางในการคลำสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้

คลำในแนวก้นหอย หามะเร็ง1คลำในแนวก้นหอย
โดยสามารถคลำได้ในทิศทางทั้งทวนเข็มนาฬิกา หรือตามเข็มนาฬิกาก็ได้

การคลำในแนวดิ่ง หามะเร็งการคลำในแนวดิ่ง
จากใต้เต้านมจนถึงกระดูก ไหปลาร้า คลำจากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบนก็ได้

คลำในแนวรูปลิ่ม หามะเร็งเต้านม

คลำในแนวรูปลิ่ม
ทิศทางเป็นเส้นตรงรัศมีในออกนอก หรือนอกเข้าในก็ได้เช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ที่มีเต้านมใหญ่หรือเนื้อเต้านมมาก แนะนำให้นอนตะแคงโดยเอาด้านข้างของลำตัวด้านนั้นให้สูงขึ้น เพื่อที่จะคลำด้านข้างได้ชัดเจน เนื่องจากเนื้อเต้านมจะไปกองอยู่ที่บริเวณด้านข้างทำให้คลำได้ยาก ใช้วิธีคลำให้คลำลงล่างและขึ้นบนไปมาจนทั่วบริเวณ จากนั้นให้นอนหงายเพื่อคลำด้านในให้ทั่วเช่นเดียวกัน

การตรวจเต้านมด้วยตนเอง เป็นการตรวจที่จะเกิดประโยชน์อย่างมาก หากได้ทำการฝึกฝนเป็นประจำและสม่ำเสมอจนชำนาญ เพื่อให้ทราบสภาพของเต้านมตนเอง และเมื่อพบสิ่งผิดปกติที่เปลี่ยนแปลงไปจะสามารถสังเกตได้โดยง่าย สิ่งที่สำคัญของการตรวจเต้านมด้วยตนเอง คือ ทำการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกวิธี เดือนละ 1 ครั้ง และคลำไปให้ทั่วบริเวณเต้านมและรักแร้

ในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติ หรือสงสัยในสิ่งที่ตรวจพบว่าอาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้น ท่านควรจะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจซ้ำหรือตรวจเพิ่มเติม เพื่อให้การวินิจฉัยและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่ท่านต่อไป

 

Sesamin กับหนูทดลอง

บทคัดย่อผลงานวิจัยล่าสุด ได้รายงานว่า เมื่อให้หนูทดลองที่มีความดันโลหิตสูงทางกรรมพันธุ์กินเซซามิน เป็นระยะเวลานาน มีผลทำให้ห้องหัวใจด้านซ้ายดีขึ้นกว่าหนูในกลุ่มควบคุม โดยแสดงผลการทดลองโดยผลการย้อมเซลล์ และไมโตครอนเดรีย เป็นงานวิจัยที่สุดยอดอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของสารสกัดเซซามิน

56 long-term intake sesamin

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ

สรรพคุณมหัศจรรย์แห่งสาร “เซซามิน” สารสกัดงาดำ

เซซามิน เป็นสารลิกแนน (lignans ) ชนิดหนึ่งในงาดำซึ่งมีปริมาณมากที่สุดสารดังกล่าวคือสารชีวโมเลกุลที่ทำหน้าที่ ป้องกันตัวเองจากศัตรูพืช รายงานวิจัยที่ผ่านมามากมายต่างค้นพบว่า สารเซซามินมีคุณสมบัติทางชีวภาพสูงมาก สามารถสรุปได้ดังนี้

1 ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ( Fatty Acid Oxidation )
2 ช่วยลดคอเลสเตอรอล ( Reduction of Cholesterol ) ทั้งในด้านการยับยั้งการสังเคราะห์ และการดูดซึมคอเลสเตอรอล
3 ช่วยให้ไขมันอยู่ในสภาพที่ดี ( Hypolipidemic Effect )
4 ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินอีเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ( Enhancement of Vitamin E ) เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง
5 ปกป้องระบบประสาท ( Neuroprotective Effect ) ด้วยการยับยั้งปฏิกริยาการเติมออกซิเจนของอะมีลอยด์โปรตีน จึงเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้
6 ช่วยลดอนุมูลอิสระ และ ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน ( Effect on Hypoxic and Oxidative Stress )
7 มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ( Antioxidant Effect )
8 มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ( Anti – Inflammatory Effect )
การวิจัยในห้องทดลองทำให้พบกลไกการทำงานของสารเซซามินที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบได้ทุกชนิดตั้งแต่การอักเสบของ กระดูก การอักเสบของตับ ปอด และอื่นๆ ดร.ปรัชญาจึงได้ต่อยอดความรู้จากเรื่องกระดูกไปสู่การศึกษาเรื่อง มะเร็ง ตับแข็ง ตับอักเสบ ปอดอักเสบ และ การติดเชื้อไวรัส H1N1 และนี่เองที่ทำให้โลกได้ตระหนักถึงพลานุภาพของเซซามิน สารสกัดจากงาดำที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการเยียวยาความเจ็บป่วยนานาของมนุษย์ จากโรคร้ายที่บ่อนทำลายคุณภาพชีวิต หรือแม้แต่คร่าชีวิตผู้คนมานักต่อนัก

สนใจสมัครสมาชิกเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ หรือสั่งซื้อเอมมูร่าในราคาพิเศษ โทร 086 604 7044 หรือ คลิกที่ภาพข้างล่างสมัครสมาชิกออนไลน์ได้ทันทีค่ะ

สมัครสมาชิกออนไลน์ทันที่