เซซามินในงาดำสกัด ประโยชน์ที่เหลือเชื่อ

กระแสตอนนี้ ผู้คนให้ความสนใจกับอาหารสุขภาพมากขึ้น มีการสกัดสารที่เป็นประโยชน์จากพืช จากสมุนไพรต่างๆ มากมาย มาผสมผสานกับผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มยอดขาย เช่น ในนมถั่วเหลือง นมสด หรือเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพมากมายในท้องตลาดปัจจุบัน

วันนี้ เราจะมาพูดถึง สารสกัดจากธัญพืชพื้นบ้านของเรา นั่นก็คือ “งา” งา เป็นพืชล้มลุก ผลเป็นฝัก มีเมล็ดเล็กๆ สีขาวหรือสีดำ มีการเพาะปลูกมานานเพราะต้องการใช้เมล็ดงานี้เป็นอาหาร เครื่องเทศ และบีบเอาน้ำมันได้ มีการใช้เมล็ดงากันมากเป็นพิเศษในแถบตะวันออกกลาง และเอเชียเพื่อเป็นอาหาร (ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)

nga

เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วว่า งาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารเกือบจะครบถ้วน โดยมีไขมัน โปรตีน กรดอะมิโนชนิดเมไธโอนินและทริปโทแฟนสูง ซึ่งตามปกติกรดอะมิโนทั้ง 2 ชนิด มักจะมีน้อยในโปรตีนพืชอื่นๆ นอกจากนั้น ในงายังมีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย นอกเหนือไปจากคุณสมบัติที่กล่าวมานี้ งาดำยังมีสารลิกแนน (lignans) ที่ชื่อว่า เซซามิน

เซซามิน เป็นสารลิกแนน ( lignans ) ชนิดหนึ่งในงาดำซึ่งมีปริมาณมากที่สุด สารดังกล่าวคือ สารชีวโมเลกุลที่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองจากศัตรูพืช รายงานวิจัยที่ผ่านมามากมายต่างค้นพบว่า สารเซซามินมีคุณสมบัติทางชีวภาพสูงมาก สามารถสรุปได้ดังนี้

1. ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ( Fatty Acid Oxidation )
2. ช่วยลดคอเลสเตอรอล (Reduction of Cholesterol ) ทั้งในด้านการยับยั้งการสังเคราะห์ และการดูดซึมคอเลสเตอรอล
3. ช่วยให้ไขมันอยู่ในสภาพที่ดี ( Hypolipidemic Effect )
4. ช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิตามินอีเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า (Enhancement of Vitamin E ) เหมาะสำหรับพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง
5. ปกป้องระบบประสาท ( Neuroprotective Effect ) ด้วยการยับยั้งปฏิกริยาการเติมออกซิเจนของอะมีลอยด์โปรตีน จึงเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ได้
6. ช่วยลดอนุมูลอิสระ และ ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน (Effect on Hypoxic and Oxidative Stress )
7. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ( Antioxidant Effect )
8. มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ ( Anti – Inflammatory Effect )

และการวิจัยในห้องทดลองทำให้พบกลไกการทำงานของสารเซซามินที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบได้ทุกชนิด ตั้งแต่การอักเสบของกระดูก การอักเสบของตับ ปอด และอื่นๆ จึงได้มีการต่อยอดความรู้จากเรื่องกระดูกไปสู่การศึกษาเรื่อง มะเร็ง ตับแข็ง ตับอักเสบ ปอดอักเสบ และ การติดเชื้อไวรัส H1N1 และนี่เองค่ะ ที่ทำให้โลกได้ตระหนักถึงพลานุภาพของเซซามิน สารสกัดจากงาดำที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการเยียวยาความเจ็บป่วยนานาของมนุษย์

นอกเหนือจากนี้ การที่เซซามินมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ประกอบกับฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบ และคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย จึงสามารถนำเซซามีนไปใช้บำบัดความเจ็บป่วยได้อีกหลายโรค ซึ่งต้องทำการศึกษาวิจัยกันต่อไป

อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติได้มีการใช้เซซามินกับผู้ป่วยหลายโรคด้วยกัน ดังที่มีผู้บริโภคสารสกัดเซซามินบอกเล่าประสบการณ์มาให้ทราบ เช่น มีการใช้เซซามินกับผู้ป่วยวัณโรคกระดูกได้ผลดี หรือแม้แต่ใช้กับผู้ป่วยพาร์คินสัน ก็ช่วยบรรเทาอาการได้ เพราะเซซามินในงาดำ มีสรรพคุณบำรุงระบบประสาทเป็นที่ประจักษ์ชัดกันมานานแล้ว

การทานงาดำเพื่อให้ได้สารเซซามิน ก็ต้องทานให้ถูกต้อง คือต้องทานงาที่บดแล้ว เพราะงาที่ไม่ได้บด ยากที่จะถูกย่อยสลายได้ในทางเดินอาหาร เนื่องจากงามีโครงสร้างที่แข็งแรงมาก ที่สำคัญก็คือต้องทำให้สุกก่อน เวลาคั่วก็ต้องระวังไม่ให้งาไหม้ ไม่อย่างนั้นแล้ว แทนที่จะได้ประโยชน์ก็จะได้โทษไปแทน และถ้าจะต้องเก็บงาไว้ทานนานๆ ก็ต้องเก็บไว้ไม่ให้เหม็นหืนด้วยนะคะ

หากเราเป็นคนที่มักไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารทาน ไม่สะดวกในการ คั่วงา บดงาเอง แต่อยากได้สารประโยชน์เซซามินนี้ ปัจจุบันมีผลงานวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สารสกัดงาดำและธัญพืช โดย รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ค้นพบสรรพคุณมหัศจรรย์ของสารเซซามินจากงาดำ ได้มีการทำเป็นแคปซูลออกจำหน่ายแล้วค่ะ จะเห็นได้ว่าแม้ในสังคมที่ทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง ไม่มีเวลาพิถีพิถันกับอาหารการกินมากนัก แต่เราก็สามารถบริโภคอาหารที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อปกป้องร่างกายมิให้เสื่อมสภาพ จนโรคร้ายเข้าโจมตีได้

แล้ววันนี้…เราจะมองข้ามงาดำไปได้อย่างไร ถ้าใครอยากได้ประโยชน์จากเซซามิน มื้อหน้าอย่าลืมหาเมนูที่มีงาดำเป็นส่วนผสมมารับประทานด้วยนะคะ

สนใจผลิตภัณฑ์สารสกัดจากงาดำ ศึกษาข้อมูลเชิงลึกได้ที่ www.baannumjai.com หรือ www.facebook.com/baannumjai.aiyara

 

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคหัวใจ

Dr.Dwight Lundell, M.D.

Dr.Dwight Lundell, M.D.

ความเชื่อทางวงการแพทย์ที่หลงผิด?
เรื่องราวที่สำคัญระดับโลกและควรแชร์มากที่สุดในโลก!!!

เรื่องราวต่อไปนี้นับได้ว่าเป็นความสำคัญระดับโลก แนวคิดและความรู้ด้านนี้เป็นการพลิกโต๊ะ…..ล้มกระดาน….ล้มคว่ำอวิชชา ..ความหลงเชื่ออย่างผิดๆ ตลอดมากว่า 60 ปีแน่นอนว่าต้องฝืนกระแส ฝ่าแรงเสียดทานอีกมากกว่าที่คนจะเปิดสมองเปิดใจรับอย่างดุษฎี

แน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ….แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าหากคุณไม่เชื่อ….คุณต้องกล้าเผชิญความเสี่ยงโดยเอาชีวิตและสุขภาพของคุณเองเป็นเดิมพัน….ถูกคืออะไร ผิดคืออะไรไม่มีใครสามารถเป็นตัวประกันแทนตัวคุณเองได้

และในวันนี้ก็จะมีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่งนอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลักMain stream Medicine จนล้มคว่ำความหลงผิด หลงเชื่ออย่างผิดๆ ตลอดมากว่า 60 ปี

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า 25 ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000 ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจมาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุด เพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผม เกี่ยวกับสาเหตุ ตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตูโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่านๆ มานั้นไม่ถูกต้อง!!!!!”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

“ ชัดเจนมาก ว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด

เอาล่ะตอนนี้ผมจะขมวดสาระสำคัญที่ Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ จดจำเป็นกรอบความคิด เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆ กันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ ดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมา เดินผิดทางไปหมด อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วย โรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆ ที่มีประชากร (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) ประมาณ 25% ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริการายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75 ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes) กว่า 57 ล้านคน ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายูน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก ) มีคำถามตัวโตๆ ว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆ สั้นๆ ที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats) ทีอยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆ ในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด 25 ปีที่ผ่านมา แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆ โดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆ บริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆ แดง เลือดซิบๆ นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆเข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆ ไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า ( ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7 กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย ) ทันที่ที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆ ชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆ มื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆ กับท่านว่า ผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5000 คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆมื้อ หลายๆ ปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆ ขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้ว กลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่นน้ ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกัน เพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดี คือ ไม่เกิน 3: 1 แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตูการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6 บางชนิดก็โหนกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต์ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง เช่น มันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช ( โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้ เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ?  ทั้ง ๆ ที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัว ทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพธ์ที่ว่า” ผ่านกรรมวิธี” เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1 จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1 ผลก็คือ ผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ cytokines และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจนกลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6 ปริมาณสูงๆ จากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 7,280 mg  น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ มีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 6,940 mg  ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติ ซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6ไม่เกิน 20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ( ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆ จึงไม่เหม็นหืน?) ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

ขอบคุณและขอแชร์ข้อมูลเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับท่านที่รักษ์สุขภาพ

 

แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว

กรอบความคิด2

คุณรู้มั้ย ในวันนี้ ที่ชีวิตที่เป็นอยู่
เกิดจากความคิด ของคุณ เป็นผู้กำหนด

ถ้าวันนี้คุณคิดว่า คุณคือลูกจ้าง
คุณก็จะเป็นลูกจ้างไปตลอดครับ

เพราะการที่คุณคิดเช่นนั้น ก็เหมือนกับ
เป็นการ ตอกย้ำ ความรู้สึก ความนึกคิด

และจะคอยบอกตัวเองว่า..
…เราคือลูกจ้าง…

เป็นอย่างอื่นไม่ได้..
ผลลัพธ์ของความคิด..จะเป็นตัวชี้ให้เกิด
ผลของการกระทำนั้นเอง

คิดเช่นไร..ย่อมเป็นเช่นนั้น
จิตใต้สำนึก..จะค่อยๆปลูกฝัง…
ตอกย้ำ..อยู่เป็นประจำ..
ในความคิดนั้นๆ จนมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก

เราคือ..ลูกจ้าง…

เราตีกรอบชีวิตให้กับตัวเอง..ตีกรอบความสามารถ
ตีกรอบ..ความคิด..ตีกรอบความรู้สึก..
เพียงแค่คิดว่า..ชีวิตเป็นได้เพียงแค่นี้..
เป็นอย่างอื่นไม่ได้นั่นเอง..

อาจมาจาก..ความไม่รู้..เรียนมาน้อย..
บ้านยากจน..พูดไม่เก่ง.. เรียนไม่เก่ง..

ก็เลยยอม..จำนน..ต่อโชคชะตา
จิตใจขาดความฮึกเหิม..ไม่คิดออกจาก..
กรอบที่เป็นอยู่..
เราตัดสินใจชีวิตของเรา..เพียงความรู้สึก..
ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..
ทนทำงาน แลกกับค่าแรงงาน..จำนวนหนึ่ง..

ทำงานแถมไม่มีวันหยุด..เหนื่อยกาย..เหนื่อยใจ
หมดเวลา..ไปกับการทำงานเพื่อแลกกับเงิน..

ชีวิต..กับเวลา..มันหมดไปกับการทำงาน..
แต่เชื่อไหมว่า..ลองถามดูซิ..
ทำงานพอกินไหม..เหลือเก็บไหม..
เกือบทุกคนจะตอบเหมือนกันว่า
แทบไม่พอกิน…
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกแต่จริง..แล้วถามว่า
ไม่คิดที่จะเปลี่ยนงานบ้างหรือ..
ลังเล..ครับ..ไม่แน่ใจ..คิดไปต่างๆ นาๆ

สุดท้าย..ก็ขอเลือก..
ทำงานอย่างเดิมดีกว่า..

ถ้าวันนี้..เราไม่ปฏิวัติตัวเอง..ไม่เปลี่ยนแนวคิด..
ไม่เปลี่ยน..การกระทำของตัวเอง..

ไม่ว่า..วันนี้
ไม่ว่า..พรุ่งนี้..
ไม่ว่า..วันไหนๆ..
มันก็ไม่มีความหมายครับ..
เพราะชีวิตเรา เราเท่านั้นเป็นผู้ลิตขิต และ กำหนดมัน
จาก..ความนึกคิด..ที่อยู่ในสมองของเรา

คำๆนี้ ได้ยินกันอยู่เป็นประจำ
ความคิดเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน
แต่น้อยคน..ที่คิด..และลงมือทำมัน

ทุกวันนี้..ก็เลยทำให้หลายๆคน ทนทำงานและ
ขายแรงงาน..รับจ้างไปวันๆ แบบไร้จุดหมาย..
เพราะไม่ได้คิด…เราทำงานเพื่อแลกกับเงินเดือน..
เพียงเพื่อทำให้..ชีวิตคนอื่นดีขึ้น..รวยขึ้น..สร้างฝันให้คนอื่นเป็นจริง
เพื่อแลกกับค่าจ้าง..ที่ตัวเราเองไม่มีวันรวย..

..ทนได้ครับ..แต่..
..ละทิ้งความฝันของตนเอง..
ทำไม..ไม่คิดขายแรงงาน แรงใจ เวลา..
ให้กับตัวคุณเองบ้างล่ะ..

ทำให้ตัวเองรวย..กับธุรกิจของคุณ..กิจการของคุณ
อะไรที่เป็นของคุณ..เคยคิดไหมครับ..?

ถ้าวันนี้คุณคิด..แต่ติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้
ยังไม่รู้วิธีการทำธุรกิจ..
ไม่รู้ช่องทาง..ที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
กลัวขาดทุน..
กลัวล้มเหลว..
กลัวความไม่รู้ของตัวเอง
ขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจ..ถ้าต้องการสำเร็จในธุรกิจ..

ความต้องการ..ในชีวิตที่ดีกว่า..โอกาสที่ดีกว่า..
คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า..ในวันข้างหน้า..

วันนี้..เราต้องเปลี่ยนแปลงครับ..
ถึงจะได้สิ่งที่ดีกว่า..

ถ้าเรามีเครื่องมือ..วิธีการสร้างธุรกิจ..สอนคุณ
ให้คุณสามารถสร้างรายได้ ทั้งแบบ Offline + Online
มันเป็นสิ่งที่น่ายินดีไหม..?
สอนคุณหาเงินบนโลกออนไลน์..?
สอนคุณหาเงินในทุกๆกิจกรรมที่คุณดำเนินชีวิตอยู่..?

มาเรียนรู้วิธีการหาเงินแบบไร้ขีดจำกัดกับเรา
กรอกชื่อ และรายละเอียด เพื่อเข้ามาศึกษากับเราก่อน ฟรี!!

apply now

สนใจร่วมธุรกิจกับเรา
ติดต่อ 086 604 7044

รู้ทัน “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง”

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นมะเร็งที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซด์ มีการเพิ่มจำนวนและเจริญเติบโตผิดปกติ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโตเร็วมาก

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มักพบบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ และขาหนีบ แบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้

1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดโรคฮ้อดกินส์ และ
2 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกินส์

การแบ่งชนิดว่าเป็นชนิดใด ต้องอาศัยการตรวจเซลล์ทางพยาธิวิทยา ด้วยกล้องจุลทรรศน์ มะเร็งทั้งสองชนิดมีลักษณะการดำเนินโรค ความรุนแรง และวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน จากลักษณะและชนิดของเซลล์มะเร็ง สามารถแบ่งออกเป็นเกรดต่ำถึงเกรดสูงตามความรุนแรงของโรค โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคนไทยพบได้บ่อยเป็นอันดับที่ 8 หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมด

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮ้อดกิ้นส์ ส่วนมากพบในเด็กและวัยหนุ่มสาว การแพร่กระจายค่อนข้างช้า และมักจะแพร่กระจายไปตามอวัยวะข้างเคียง หากเป็นระยะแรก อาจให้การรักษาได้ทั้งวิธีฉายแสงและเคมีบำบัด สำหรับระยะที่เป็นมาก ก็ต้องใช้วิธีการให้เคมีบำบัดเป็นหลัก ในแต่ละปีมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮ้อดกิ้นส์ 62,000 คนทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ชายร้อยละ 60 และเป็นผู้หญิงร้อยละ 40 ผู้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮ้อดกิ้นส์ประมาณปีละ 25,000 คน

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิ้นส์ มักพบในผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเอดส์ และพบในคนไทยมากกว่าชนิดฮ้อดกินส์ แพร่กระจายค่อนข้างเร็ว ดังนั้นจึงต้องใช้เคมีบำบัดเป็นหลักในการรักษาไม่ว่าจะอยู่ในระยะใด และอาจต้องใช้การฉายแสงเข้าช่วยด้วยหากมีก้อนที่ใหญ่มาก ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิ้นส์ 286,000 คนทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ชายร้อยละ 58 และเป็นผู้หญิงร้อยละ 42

โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิ้นส์ แบ่งออกได้เป็น 30 ชนิดย่อย ถ้าอาศัยการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือชนิดค่อยเป็นค่อยไป มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้จะมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า ชนิดรุนแรงและลุกลาม จะมีอัตราการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน- 2 ปี

การรักษาวิธีมาตราฐาน

รังสีรักษา
เคมีบำบัด
สารชีวภาพ
ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

การรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสี เรียกว่า radiation therapy รังสีรักษาเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็ง โดยใช้รังสีเอ็กซ์พลังงานสูง หรือรังสีชนิดอื่นๆ ทำลายเซลล์มะเร็ง หยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ปริมาณรังสีที่ใช้รักษาเพื่อมุ่งหวังให้หายขาด จะใช้ปริมาณ 6000-7500 cGy ทั้งนี้ขึ้นกับตำแหน่ง และขนาดของก้อนมะเร็ง โดยปกติจะฉายรังสีแก่ผู้ป่วยวันละ 180-200 cGy โดยฉาย 5 วันต่อสัปดาห์ ใช้เวลาทั้งสิ้น 6-8 อาทิตย์ ปัจจุบัน นิยมใช้ทั้งวิธีรังสีรักษาชนิดภายนอก และวิธีรังสีรักษาชนิดภายใน

รังสีรักษาชนิดภายนอกใช้เครื่องมือซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดรังสีชนิดที่อยู่ภายนอกร่างกาย ทำการฉายรังสีไปยังเซลล์มะเร็งในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เครื่องฉายรังสี Cobalt-60 หรือ linear accelerators ที่มีพลังงาน 4-10 MV เครื่องฉายรังสีที่มีพลังงานสูงจะทำให้บริเวณใต้ผิวหนังได้รับรังสีน้อย จึงต้องระวังโดยเฉพาะเวลาฉายต่อมน้ำเหลือง ส่วนเครื่องฉายรังสีชนิดลำอิเลคตรอน มีประโยชน์มากในการรักษามะเร็งที่อยู่ตื้นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ ปกติใช้ลำอิเลคตรอนในช่วงพลังงาน 6-20 MeV บางครั้งอาจจะใช้ลำอิเลคตรอนร่วมกับการฉายแสงชนิดเมกะโวลท์ เพื่อให้ได้ก้อนมะเร็งได้รับรังสีสม่ำเสมอและทั่วถึงตามที่ต้องการ

ส่วนวิธีรังสีรักษาชนิดภายในเป็นการใช้สารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งอาจจะเป็นในรูปแบบของสอดไว้ในเข็ม ผลิตเป็นเม็ด ขดลวด หรือสายสวน แล้วฝังไว้ในก้อนมะเร็ง หรือฝังไว้ตำแหน่งที่ใกล้เคียง การใช้สารกัมมันตรังสีมีประโยชน์อย่างมากในการรักษามะเร็งเฉพาะที่ ทำให้บริเวณนั้นได้รับปริมาณรังสีสูง และอวัยวะใกล้เคียงได้ปริมาณรังสีต่ำ สารกัมมันตรังสีที่ใช้ เช่น Radium-226 หรือ Iridium-192 เป็นต้น

การที่จะเลือกใช้วิธีใด แพทย์จะพิจารณาจากชนิดของมะเร็งและระยะของโรค สำหรับการวางขอบเขตบริเวณที่จะฉายรังสีด้วยเครื่องฉายรังสีจำลองก่อนผู้ป่วยจะได้รับการฉายรังสีจริง จะต้องวางขอบเขตที่จะรับการฉายรังสีก่อน ควรจะใช้เครื่องฉายรังสีจำลองช่วย เพื่อให้มีความแม่นยำและขีดแนวเลเซอร์ทั้งด้านบนและด้านข้าง ไม่ให้ลบเลือน เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมตลอดเวลาการฉายรังสี

การรักษาด้วยเคมีบำบัด เรียกว่า chemotherapy การใช้ยาเคมีบำบัดเป็นการรักษาหลักอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง โดยมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันตามชนิดของโรคและข้อบ่งชี้ ยาเคมีบำบัดแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน แม้แต่ยาในกลุ่มเดียวกัน ก็มีการศึกษาและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้น การใช้ยาเคมีบำบัดจึงควรจะมีความรู้ทางด้านยาโดยละเอียด

วิธีการให้ยาเคมีบำบัดแบ่งเป็น 2 วิธี ได้แก่ ยาเคมีบำบัดชนิดรับประทาน และยาเคมีบำบัดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิ้นส์บางราย อาจจำเป็นต้องได้รับเคมีบำบัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเซลลมะเร็งเข้าไปในระบบประสาท

ระยะเวลาของการให้ยาเคมีบำบัด ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยเป็นรวมทั้งผลการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละราย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้วิเคราะห์แนะนำและกำหนดเวลา ตลอดจนเลือกยาที่ได้ผลดีที่สุดต่อผู้ป่วย

ความถี่ของการให้ยาเคมีบำบัดแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น ทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน บางครั้งอาจต้องหยุดยาชั่วคราว เพื่อให้ร่างกายมีเวลาพักและซ่อมแซมเซลล์ปกติให้แข็งแรงพอที่จะให้ยาครั้งต่อไปได้

ผู้ป่วยบางรายอาจท้อแท้ เนื่องจากระยะเวลาอันยาวนานของการรักษา ถ้าหากมีความกังวลใจ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล แพทย์อาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาให้เหมาะสมขึ้น

ควรติดตามผลการรักษาเป็นระยะ โดยมาตรวจตรงตามแพทย์นัด ให้ยาตรงตามแผนการรักษา การได้ยาไม่ครบหรือระยะเวลาไม่ตรงกำหนด จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการรักษา ถ้ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนระยะเวลาการให้ยาควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนทุกครั้ง

การรักษาด้วยสารชีวภาพ โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า biologic therapy บางครั้งอาจมีผู้เรียกชื่ออื่นๆ ได้แก่ biotherapy และ immunotherapy ปัจจุบันได้รับการนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น Rituximab (Rituxan), Rituximab (Mabthera), Ibritumomab (Zevalin), Tositumomab (Bexxar), Epratuzumab (Lymphocide), Alemtuzumab (MabCampath) การรักษาด้วยสารชีวภาพเป็นวิธีการรักษาที่ใช้หลักการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของผู้ป่วยกำจัดหรือทำลายเซลล์มะเร็ง

สารชีวภาพที่นำมาใช้อาจเป็นสารที่สร้างขึ้นในร่างกาย หรือเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการ โดยสารชีวภาพออกฤทธิ์กระตุ้นและส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติ ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยสารชีวภาพวิธีหนึ่งที่นิยมนำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง เรียกว่า การรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน (monoclonal antibody therapy) ซึ่งปัจจุบันได้นำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตอมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิน โดยเป็นแอนติบอดีชนิดที่สังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการจากเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่ง

แอนติบอดีชนิดโมโนโคลน มีความสามารถพิเศษในการจับกับเซลล์มะเร็ง หรือจับกับโปรตีนบางชนิดที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทำให้สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ ช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง แอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอยู่ในรูปแบบยาหยดเข้าสู่ร่างกายทางหลอดเลือด อาจใช้โดยลำพัง หรือนำมาผสมกับสารอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์ ได้แก่ ยาบางชนิด สารพิษบางชนิด รวมทั้งสารกัมมันตรังสี แอนติบอดีชนิดโมโนโคลนที่นำมารวมกับสารกัมมันตรังสี เรียกว่า แอนติบอดีชนิดโมโนโคลนปิดฉลากสารเรืองแสง ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

วิธีติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เรียกว่า watchful waiting
ถือเป็นวิธีมาตราฐานในการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิ้นส์ เนื่องจากโรคนี้มีความหลากหลายของการดำเนินโรคค่อนข้างมาก การติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

การรักษาวิธีใหม่

วัคซีน
การรักษาโรคมะเร็งด้วยวัคซีนเรียกว่า vaccine therapy ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาวิธีใหม่ โดยใช้หลักทางชีวภาพกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์มะเร็ง

เคมีบำบัด
เคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดขนาดสูง ร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เรียกว่า high-dose chemotherapy with stem cell transplant

หลักการของวิธีนี้ เป็นการทดแทนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในร่างกายผู้ป่วยหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เซลล์ต้นกำเนิดที่นำมาใช้อาจเป็นชนิดเซลล์ของผู้ป่วยเอง หรือเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค ถ้าเป็นเซลล์ของผู้ป่วยเอง สามารถเก็บได้จากเลือดหรือไขกระดูก แล้วนำมาแช่แข็งเก็บไว้

ภายหลังการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดขนาดสูง จึงนำเซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บไว้มาให้ผู้ป่วยด้วยวิธีหยดเข้าทางหลอดเลือด เซลล์ต้นกำเนิดที่ให้กลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย สามารถเจริญเติบโตและทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดได้อย่างดี ช่วยให้ผลการรักษาประสบความสำเร็จมากขึ้น

การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดขนาดสูง ร่วมกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ยังไม่ถือเป็นวิธีมาตราฐานในการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮ้อดกิน จัดเป็นแนวทางการรักษาใหม่วิธีหนึ่งที่ผลการศึกษาวิจัยออกมาค่อนข้างดี

ทางเลือกวิธีรักษาโรคระยะที่หนึ่งและสองชนิดไม่รุนแรง

-> ฉายแสงไปยังตำแหน่งของก้อนมะเร็งโดยตรง
-> ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
-> ฉายแสงไปยังตำแหน่งของก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
-> เคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสง

ทางเลือกวิธีรักษาโรคระยะที่หนึ่งและสองชนิดลุกลาม

-> เคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน ร่วมกับรังสีรักษาที่บริเวณก้อนมะเร็ง
-> การรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน ร่วมกับเคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนานและสเตียรอยด์
->รังสีรักษาหากมีข้อบ่งชี้พิเศษ

ทางเลือกวิธีรักษาโรคระยะที่สอง สาม และสี่ ชนิดไม่รุนแรง

-> ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด
-> เคมีบำบัดร่วมกับสเตียรอยด์ หรือเคมีบำบัดอย่างเดียว
-> เคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน ร่วมกับสเตียรอยด์

การรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน ร่วมกับเคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน หรือแอนติบอดี้ชนิดโมโนโคลนอย่างเดียว

-> แอนติบอดีชนิดโมโนโคลนปิดฉลากสารเรืองแสง
-> รังสีรักษาที่บริเวณก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงสำหรับโรคระยะที่สาม
-> เคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสงทั้งตัว หรือแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนปิดฉลากสารเรืองแสง ตามด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
-> เคมีบำบัดร่วมกับวัคซีน
-> ทางเลือกวิธีรักษาโรคระยะที่สอง สาม และสี่ ชนิดลุกลาม
-> เคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน
-> เคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน ร่วมกับรังสีรักษา หรือแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน
-> เคมีบำบัดมากกว่าหนึ่งขนาน ร่วมกับรังสีรักษาป้องกันการแพร่กระจายไปที่ระบบประสาท
-> การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดในกรณีที่มีโอกาสที่โรคกลับเป็นซ้ำ

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ