แรงบันดาลใจนักวิจัยเซซามิน
จาก ศ. ดร. ปรัชญา คงทวีเลิศ
จริงๆ แล้วผมเป็นคนบ้านนอก ผมเกิดและโตที่อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งไกลมากเลย ไกลแบบที่ว่าสมัยยายผมต้องขี่ช้างเข้ามาในตัวจังหวัด มันบ้านนอกมาก
แล้วโตขึ้นมาได้มีโอกาสเรียนปริญญาตรี ที่คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบปริญญาตรีเสร็จก็เรียนต่อปริญญาโทที่ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วก็ได้มีโอกาสไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ออสเตรเลียที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
ที่นี่เองที่ได้เรียนรู้งานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องของกระดูกอ่อน และการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจและใช้สารที่มีผลในการปกป้องกระดูกอ่อน โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องยาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ จากนั้น กลับมาเราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากจะทำอะไรให้องก์ความรู้ที่เราเคยเรียนมาจากต่างประเทศ ให้มันเป็นประโยชน์มากขึ้น
ผมก็ทำเริ่มต้นจากทำชุดน้ำยาตรวจวินิจฉัยโรค ซึ่งผมทำทางด้านนี้อยู่ ผมเรียนปริญญาเอกมาทางด้านโรคข้อเสื่อม โรคข้อเสื่อมนี่สำคัญมาก คือมันเป็นโรคคนแก่ซึ่งเป็นกันมากคือแทบจะทุกคนเลยเราเรียกว่าเป็นโรคคนชรา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Ageing Diseaseลองคิดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นโรคข้อเสื่อมมันสูญเสียมหาศาลจะไปทำงานหรือกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ไปไม่ได้ อยู่แต่บ้านได้เท่านั้นเพราะปวดขา จะมาโรงพยาบาลขับรถมาเองไม่ได้ ต้องให้คนพามา ผมก็เลยมีความคิดว่าจบปริญญาเอกมาแล้ว ทำไมเราไม่ใช้องค์ความรู้ที่ได้รับมา มาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนให้มันดีขึ้น เรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย ที่ผมคิดว่างานวิจัยที่มีคุณค่าไม่เพียงแต่จะมีคุณค่าทางองก์ความรู้ที่ได้เท่านั้น หรือมีแค่ที่นักศึกษาบัณฑิตเป็นลูกศิษย์เท่านั้น
งานวิจัยที่มีคุณค่ามันควรจะมีคุณค่าในลักษณะที่นำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง ทุกคนอาจจะเห็นภาพว่ารัฐบาลให้เงินมาทำวิจัยแล้วชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร? หรือไม่ก็งานวิจัยบางชิ้นมันอยู่ที่หิ้ง มันไม่ไปถึงห้างสักทีหนึ่ง
ผมก็เลยมีความคิดว่า เอ๊ะ! ถ้าสมมติว่าเราได้ทำงานวิจัยแล้วเรามีความสุข มีนักศึกษามาเป็นลูกศิษย์ลูกหา ได้ผลงานทางวิชาการแล้ว เราน่าจะยังสามารถนำผลงานวิจัยไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ด้วยมันจะยิ่งดีใหญ่เลย แล้วผลิตภัณฑ์ตัวนั้น ทำให้คนสุขภาพดีขึ้นมันก็จะยิ่งดีขึ้นไปใหญ่
ผลิตภัณฑ์จากงายังทำให้เกิดลักษณะของวงจรทางเศรษฐกิจทางอะไรต่างๆ ก็กระจายกันออกไป เช่น ฉันนำเอาผลิตภัณฑ์ของอาจารย์ไปกินนะ ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรเลย ฉันสบายดีมาก… แค่ได้ยินผมก็มีความสุขแล้ว
เมื่อปีพ.ศ. 2554 ผมได้มีโอกาสจัดรายการวิทยุ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM.105 ผู้ดำเนินรายการโทรศัพท์มาสัมภาษณ์ผมทุกเช้าวันเสาร์ตอนตีห้าครึ่ง ผมก็จะมีแฟนคลับติดตามจำนวนหนึ่ง แล้วพอพูดเสร็จปุ๊บก็จะมีคนโทรศัพท์มาหา อาจารย์อย่างโน้น อาจารย์อย่างนี้ แล้วก็อะไรหลายๆ อย่าง กินของอาจารย์แล้วนะมันดีขึ้น มันหายเลย
เคสที่น่าประทับใจมากที่สุดเลยคือที่ต่างประเทศ เขาเอาผลิตภัณฑ์ของเราไปใช้ เป็นคนขับแท็กซี่ที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียเขาบอกกับผมว่า ชีวิตฉันทรมานมาสิบปี ตื่นเช้ามามือฉัน แขนขาฉันเหมือนกับมีคนมาบีบให้มันเจ็บปวดรวดร้าวตลอดเวลา แต่ฉันก็ต้องไปขับรถแท็กซี่ตลอดทั้งวัน
มีอยู่วันหนึ่งคนที่เป็นผู้ประสานงานเขาก็เอาแคปซูลที่ผมพัฒนาขึ้นให้เขากิน วันรุ่งขึ้นเขาก็ย้อนกลับมาแล้วก็บอกว่า โลกของฉันเปลี่ยนไป ตอนนี้ ความเจ็บปวดมันทุเลาลงอย่างมหาศาลมาก ผมได้ฟังแค่นี้น้ำตาผมจะไหลเพราะว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากเลย คุณแม่ผมเองหกล้มแล้วก็กระดูกหัก ผมก็เอายาไปให้แม่ใช้ แม่ก็ทา พอรุ่งเช้าแม่ก็ให้พี่สาวโทรศัพท์กลับมา พี่สาวก็บอกว่า แกลองฟังดูไม่รู้ว่าเป็นยาของลูกชายหรือเปล่ามันถึงหาย ผมก็ถาม แม่บอกว่าไม่ใช่หายเพราะเป็นยาของลูกชายนะ แม่บอกไม่ใช่ มันหายจริงๆ เอาไปให้พระสงฆ์ท่านใช้ พระท่านก็บอกว่าดีขึ้น เอาไปให้คนโน้นก็บอกว่าดีขึ้น อันนี้ เป็นความสุขที่บอกว่าหาซื้อไม่ได้จริงๆ เป็นสิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมา…
เรื่องนี้ส่วนหนึ่งของงานวิจัยผมที่เห็นเป็นภาพออกมาได้ค่อนข้างชัดเจน ผมมีงานวิจัยอีกเยอะมาก ผมก็เลยทำหน่วยขึ้นมาหน่วยหนึ่งที่เราเรียกว่า หน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ และเซลล์ต้นกำเนิด (Thailand Excellence Center for Tissue Engineering and Stem Cells) โดยมีตัวย่อว่า ThaiTES คือเกี่ยวกับเรื่องของวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด ใช้ความรู้เพื่อพัฒนาสุขภาพให้ดีขึ้น แล้วประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือประเด็นเรื่องของงาดำ
ก่อนที่จะเริ่มเรื่องอื่นๆ ผมอยากจะขออนุญาตเล่าเรื่องบางเรื่องให้ฟังนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกันกับเรื่องหนังสือด้วย มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ดีมากเลย เป็น Best Seller ของนิตยสาร Time เลยทีเดียว ชื่อว่า “Bad Science” เขาบอกปัจจุบันนี้ อาหารเสริมมันมีที่โกหกกันมากมาย เลยไปเปิดเคเบิลทีวี เห็นไหมว่ามีการหลอกลวงไปหมด เอนไซม์บ้าง อะไรบ้าง เยอะแยะเต็มไปหมด มันเป็นอะไรที่แบบไปหลอกลวงคนที่ไม่มีความรู้ ถ้าเป็นจริงตามทีวีผมต้อง เผาทำลายตำราทางวิทยาศาสตร์ของผมทิ้งหมดทุกเล่มเลยนะ ในต่างประเทศก็มีเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ไปเอาพิษล้างพิษหรือที่เรียกว่า Homeopathy
ซึ่งจะหมายความว่า ถ้าคุณเป็นโรคหนึ่งคุณต้องเอาเชื้อโรคมาแล้วทำให้มันเจือจางลงไป เจือจางลงไปจนไม่เจอเชื้อโรคเลย แล้วเอายาตัวนั้นมารักษาคนแล้วบอกว่าหาย บางท่านอาจเคยได้ยินกันมาบ้างเกี่ยวกับความสุดยอดมหัศจรรย์ ของน้ำดื่มรักษาโรคขวดละสองพันเจ็ด ซึ่งมีกรรมวิธีที่น่าจะทำยาก และหามนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะทำได้บนโลก เอาไปผ่านพลังงานปุ๊บ น้ำตัวนั้นกลายเป็นน้ำวิเศษรักษาได้ทุกโรค
อย่าว่าแค่สองพันเจ็ด ถ้าทำได้จริง รักษาได้แน่ ผมว่าสองแสนเจ็ดต่อขวดยังมีคนต้องหาซื้อกันวุ่นวายเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งเอาออกซิเจนไปใส่ในน้ำแล้วบอกว่า จะทำให้ออกซิเจนสามารถไปดูแลเกี่ยวกับสมองได้ ต้องทราบนะครับว่าในลำไส้ของเรานั้น ไม่มีเซลล์หรือเหงือกเหมือนปลาหรือเนื้อเยื่อที่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้นะครับ บางรายสรรพคุณว่ากันไปถึงนำวัตถุดิบอย่าง เช่นอากาศจากนอกโลกมาเป็นส่วนประกอบก็มี คนที่ผมรู้จักบางท่านลงทุนควักกระเป๋าซื้อน้ำจากน้ำตกอะไรสักอย่างไม่รู้บนภูเขาสูงที่เขาว่ามันสะอาดและมีสรรพคุณสุดยอดมหัศจรรย์แค่ไหน แต่มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อที่เราสามารถจ่ายเงินได้เป็นหมื่นๆ บาท หรือว่าท่านก็คือผู้ที่เคยบริโภคมาแล้วหรือยังมีอยู่ในตอนนี้
ไม่ นานมานี้ผมไปเจออาซิ้มคนหนึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ ผ่าตัดไปสองครั้งแล้วก็ยังอาการทรงๆ รักษากันไปตามสภาพตามอาการ แล้วปรากฏว่าไปซื้อแคปซูลมากิน ซึ่งอาจมาจากผู้แนะนำและความเชื่อตามสรรพคุณที่ได้โฆษณาที่น่าเชื่อถือว่าจะ ช่วยบรรเทาหรือรักษาได้แน่นอนผู้ป่วยแทบจะทั้งร้อยเมื่อมีหนทาง หรือความหวังที่จะทำให้หายจากโรคร้ายได้นั้น เป็นใครใครก็ยอม มีเงินมีทองเท่าไรทุ่มไม่อั้น
เข้าตำราสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิต… แต่ ขอโทษที เป็นการรักษาชีวิตคนขายมากกว่า ผมถามว่ากระปุกละเท่าไร เขาบอกสามกระปุกห้าพันห้าผมอ่านฉลากข้างขวด แล้วก็พบว่ามันก็เขียนส่วนประกอบในแคปซูลเป็นโปรตีนจากไข่แดงไข่ขาวอะไรประมาณนี้ อาจจะเป็นภาษาที่ใช้ในวงการแพทย์หรือชีววิทยาเลยทำให้ดูดีขึ้น แต่ชาวบ้านอย่างอาซิ้มหรืออีกหลายๆ ท่านใครจะไปทราบได้ใช่ไหมครับ ก็ซื้อกันไปโครมๆ