ไอยราชิงแชร์ตลาดเสริมอาหารเปิดตัวสินค้าใหม่เอมมูร่าเอ็กซ์

เอมมูร่าเอ็กซ์

ดร.กัมปนาท บุญราศี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด ดำเนินธุรกิจขายตรงแบรนด์ไอยรา แพลนเน็ต เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดเสริมอาหารมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 7% เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มมากขึ้นทั้งในกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่สะดวก ทำให้มีผู้ประกอบการเข้ามาทำตลาดจำนวนมากทั้งรายเล็กและรายใหญ่ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการมากถึง 1,000 ราย เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่สัดส่วน 10%

ขณะเดียวกันในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% โดยคาดว่าในปีหน้ามีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 5% ของตลาดอาหารเสริม ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สารสกัดจากงาดำ “เอมมูร่า เอ็กซ์” (Aimmura X) พร้อมดึงนักแสดง ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ เป็นพรีเซ็นเตอร์ และประชาสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการเดินสายโรดโชว์ตามหัวเมืองต่างๆ หลังการเปิดตัวต้นปีหน้า เช่น จังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช

ดร.กัมปนาท กล่าวต่อว่า ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายสินค้าใหม่ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำรายได้รวม 600 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30% และยังตั้งเป้าหมายรายได้ของเอมมูร่า เอ็กซ์ คิดเป็นสัดส่วน 60% ของตลาดอาหารเสริมในกลุ่มเซซามีนด้วย ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานสาขา 5 แห่ง ในจังหวัดกรุงเทพฯ หาดใหญ่ เชียงใหม่ แพร่ และอำเภอแม่สอด โดยวางแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 30 แห่งตามหัวเมืองต่างๆ ภายใน 5 ปี ส่วนภายในปีนี้จะขยายสาขาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และชลบุรี ด้วยงบประมาณการลงทุนรวม 150 ล้านบาท พร้อมขยายสู่ตลาดอาเซียนต่อไป

“บริษัทยังได้เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ และขยายตลาดสู่ต่างจังหวัดเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและสะดวกขึ้น ส่วนตลาดในอาเซียนได้เริ่มขยายตลาดไปในประเทศกัมพูชาเป็นแห่งแรกเมื่อช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันเข้าทำการตลาดในประเทศเมียนมาและ สปป.ลาว”

นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนตั้งสำนักงานขายที่พนมเปญ ศรีโสภณ ประเทศกัมพูชา และมัณฑะเลย์ที่ประเทศเมียนมา พร้อมตั้งอะคาเดมีฝึกความรู้ความเข้าใจให้กับนักธุรกิจและผู้ใช้สินค้า การสร้างนักธุรกิจของไอยราให้เป็นมืออาชีพ ลบล้างภาพลักษณ์การมองธุรกิจขายตรงเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายกัมพูชา 300-400 ล้านบาท

ดร.กัมปนาท กล่าวถึงมุมมองแนวทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งนั้น ว่า หากผลิตคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า มูลค่าจะตามมาในอนาคต โดยบริษัทจะเน้นการสื่อสารให้คนในประเทศนั้นรู้สึกเป็นเจ้าของสินค้าร่วมกัน ซึ่งการทำตลาดในกลุ่มซีแอลเอ็มวีมีความยากง่ายต่างกันไป กัมพูชาเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง เพราะมีคู่แข่งน้อย ขณะที่เมียนมามีการแข่งขันสูง เช่นเดียวกับ สปป.ลาว แต่จำเป็นต้องเปิดตลาดเพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ส่วนเวียดนามก็มีความสนใจ แต่ในช่วง 1-2 ปีนี้คงต้องชะลอไปก่อน

“ด้านแผนการตลาดในประเทศปีหน้าเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง การฝึกอบรมให้นักธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ พร้อมการดำเนินธุรกิจที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น” กัมปนาท กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสินค้าของบริษัทแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มสุขภาพ (ไอเฮทล์)

2. กลุ่มความงาม (ไอรดา)

3. กลุ่มบริโภคอุปโภคภายในบ้าน (ไอบอดี้) และ

4. กลุ่มเกษตร (ไอเฮิร์บ) รวมทั้งหมด 30 รายการ โดยกลุ่มที่สร้างรายได้และมีสัดส่วนยอดขายสูงสุดคือกลุ่มสุขภาพเฉลี่ย 85%

ที่มา: http://www.banmuang.co.th/news/directsale/66347

ผู้สนใจสมัครสมาชิกไอยรา แพลนเน็ต ติดต่อ 086 604 7044 หรือ คลิกสมัครสมาชิกด้านล่างนี้

สมัครสมาชิกเพื่อร่วมธุรกิจกับ ไอยรา แพลนเน็ต ทันที

เปิดตัวผลิตภัณฑ์เซซามีนหนึ่งเดียวในไทยจดสิทธิบัตรโลก

เอมมูร่า เอ็กซ์

ศาสตราจารย์(ศ.)ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) เผยว่า งาดำนั้นมีสรรพคุณมากมาย ตั้งแต่อดีต 4,000 ปี ก็มีการรับประทานงาดำกันมาตลอดไม่เคยมีใครทานงาดำแล้วเป็นโรค จึงได้นำมาวิจัยถึงคุณประโยชน์ว่ามีสรรพคุณอะไรบ้าง ผลการศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน และงานวิจัยจากทั่วโลกที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ศึกษาวิจัยค้นพบว่าในเมล็ดงาดำมีสารเซซามีน ซึ่งสารนี้จะช่วยยับยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดที่จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์สลายกระดูกที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังพบว่าช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน อันเป็นสาเหตุของโรคข้อเสื่อมได้อีกด้วย

ศ.ดร.ปรัชญากล่าวว่า คุณค่าของสารเซซามีนที่สกัดจากงาดำ ยังมีสรรพคุณในการยับยั้งการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่เสื่อมได้ นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยในห้องปฎิบัติการพบว่าช่วยฟื้นฟูให้เซลล์ประสาทรวมทั้งเครือข่ายของระบบประสาท ซึ่งเป็นทั้งการปกป้องและฟื้นฟู ที่น่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ช่วยในโรคสมอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดอุดตันในสมอง เส้นเลือดแตกที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยสารเซซามีนจะเข้าไปช่วยปกป้องเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพ

“การค้นพบล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่ถือว่าเป็นโรคที่เกิดมากอันดับ 1 สารเซซามีนมีหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งบางชนิดเกิดการตาย และจากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในไข่ฟัก พบว่าสารเซซามินสามารถตัดวงจรหรือลดเส้นเลือดใหม่ที่เป็นนำเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งพร้อมกับค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กับคืนมา สารเซซามีนนั้นไม่ใช่ยาเพื่อรักษาโรค แต่เป็นอาหารที่เข้าไปฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาปกติ อย่างไรก็ตามการทานอาหารเป็นยา มีคุณค่ามากกว่าที่จะทานยาเป็นอาหาร” ศ.ดร.ปรัชญากล่าวและว่า ผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องงาดำดังกล่าวทางบริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด จึงมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

ด้านดร.กัมปนาท บุญราศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เอมมูร่า เอ็กซ์ ” (Aimmura X) กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม ภายใต้การบริหารจัดการในระบบขายตรง ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เอมมูร่า เอ็กซ์” (Aimmura X) สูตรใหม่ ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานวิจัยชิ้นล่าสุด ของ ศ.ดร.ปรัชญาที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของบริษัท และได้ให้ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ พระเอกชื่อดัง มาเป็นพรีเซนต์เตอร์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์เซซามีนหนึ่งเดียวในไทยที่จดสิทธิบัตรของโลก

ดร.กัมปนาทกล่าวด้วยว่า เอมมูร่า เอ็กซ์ เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีสารสกัดจากงาดำ นั่นคือสารเซซามีนที่มีปริมาณสูงสุดมากกว่า เอมมูร่าสูตรปกติทั่วไป ถึง 20 เท่า และยังมีส่วนผสมของธัญพืชออร์แกนิคชั้นดี ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไอยรา แพลนเน็ต มองเป้าหมายรายได้ ของเอมมูร่า เอ็กซ์ ไว้ที่ประมาณ 60% ของตลาดอาหารเสริมในกลุ่มเซซามีน พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมีแผนงานที่จะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ลูกค้าที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกได้เข้าถึงง่ายขึ้น โดยในอนาคตจะมีการตั้งศูนย์จำหน่ายตามจังหวัดและภาคต่างๆ รวมถึงช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์

ผู้สนใจสมัครสมาชิกไอยรา แพลนเน็ต ติดต่อ 086 604 7044 หรือ คลิกสมัครสมาชิกด้านล่างนี้

สมัครสมาชิกเพื่อร่วมธุรกิจกับ ไอยรา แพลนเน็ต ทันที

ที่มา: https://www.sentangsedtee.com/food-recipes-for-job/article_11103

 

วิธีรวยง่ายๆ

rich

ใครที่กำลังมองหาวิธีรวย อยากรวย อยากมีเงิน อยากเป็นเศรษฐี อยากๆๆๆ สารพัด วันนี้ผมจะมาบอกเคล็ดลับสร้างความร่ำรวย วิธีรวยง่ายๆ สบายๆ ซึ่งวิธีรวยง่ายๆ มีวิธีคิดและขั้นตอนดังต่อไปนี้

1 บริหารเงิน การบริหารเงินเป็นวิธีรวยง่ายมากๆ เพราะไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่รู้จักกับนำเงินที่มีไปบริหารรายจ่าย เก็บออมและลงทุน เพียงเท่านี้ก็รวยแล้ว

2 มองหารายได้หลากหลายช่องทาง (Multiple Streams of Income) หากปัจจุบันเรามีรายได้เพียงแค่ทางเดียว ลองมองหาเส้นทางไหลมาของรายได้เพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อเพิ่มช่องทางของรายได้ให้มากขึ้น

3 หัดรู้จักเก็บออมเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ และลองใช้ชีวิตด้วยรายได้เพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ

4 พยายามคิด พยายามพูด และพยายามทำในสิ่งที่เราต้องการ เพราะอะไรก็ตามที่เราให้ความสนใจมันจะขยายใหญ่ขึ้น (What you focus, expands) ซึ่งนั้นรวมทั้งเงิน รายได้ และความรวย

5 สำหรับผู้เริ่มต้นทำธุรกิจให้มองดูสังคมว่า คนส่วนใหญ่ทำอะไรกัน แล้วให้ทำแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ พยายามทำในสิ่งที่คนหมู่มากเขาทำกัน เพราะถ้าเราทำอะไรที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เราจะไม่มีคู่แข่ง

6 จำไว้ว่า คนรวยคือคนดี คนที่แข็งแรงที่สุดถึงจะอยู่รอดปลอดภัย (Survival of the strongest)

7 วางแผนการเงินโดยมีเป้าหมายเพื่ออิสรภาพทางการเงิน (Create Financial Freedom) เพราะการมีอิสรภาพทางการเงินจะทำให้เราเลือกตัดสินใจทำในสิ่งที่เราอยากทำ โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรในชีวิต

8 การมีชีวิตอยู่บนโลกในใบนี้คือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับโลก ที่โลกยังไม่มี โลกยังไม่เคยเห็น ไม่ใช้ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

9 เอ่ยปากขอแล้วเราจะได้ พลังวิเศษแห่งการขอจะทำให้เรารวยอย่างง่ายๆ (The Magic of Asking) จงขอแล้วเราจะได้ เมื่อขอแล้วต้องมีความเชื่อว่าจะได้รับ

10 อะไรก็ตามที่เราเชื่อด้วยความรู้สึก (เชื่อว่าเราจะรวยอย่างง่ายๆ) และความแน่นอน มันจะกลายเป็นความจริงตามหลักเกณฑ์กฎแห่งความเชื่อ (The law of believe)

ผักผลไม้… สาเหตุมะเร็งคนไทย!!!!

ผักพ่นพิษ’เบื้องหลัง‘ไร่พริก’...ทาสยาฆ่าแมลง : ทีมข่าวรายงานพิเศษ
ที่มา: http://www.komchadluek.net/news/detail/227271

ประเทศไทยมีความพยายามจะประกาศเป็น “ครัวโลก” แต่สภาพตอนนี้ดูเหมือนกลับกลายเป็น “ครัวโรค” เพราะอะไร? มาตรการแก้ไขจะทำได้หรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในวงจร “เกษตรพันธสัญญา” ที่ชาวไร่ชาวนากลายเป็นทาสสัญญาไม่เป็นธรรม

ย้อนไปเกือบสิบปีที่แล้ว คนไทยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังตายผ่อนส่งด้วยการกินพิษร้ายจากสารเคมีที่ใช้ในแปลงเกษตรทั่วไป โดยเฉพาะผักและผลไม้หลักฐาน มาถูกเปิดเผยเมื่อ “อียู” (สหภาพยุโรป) ซึ่งมีระบบตรวจสอบสารพิษในอาหารที่นำเข้าประเทศ (Rapid Alert System for Food: RASFF) เมื่อปี 2553 หลังสุ่มตรวจผักผลไม้นำเข้าจากไทยพบว่า มีสารเคมีและแมลงศัตรูพืชตกค้างอันดับหนึ่ง

อียูส่งข้อมูลตรงกลับมาที่รัฐบาลไทยพร้อมประกาศห้ามนำเข้าชั่วคราวทันที โดยเฉพาะผักตระกูลถั่ว ตระกูลมะเขือ กะหล่ำ พริก กะเพรา เนื่องจากตกใจที่ตรวจพบยาฆ่าแมลงอันตรายกว่า 20 ชนิดที่ทั่วโลกห้ามใช้เด็ดขาด เช่น คาร์โบฟูราน (Carbofuran), เมโทมิล (Methomyl) ฯลฯ

ผ่านไปหลายปี “อียู” ยังคงตรวจอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทยแลนด์จะถูกนำมาตรวจเกือบทั้งหมด โดยไม่สุ่มตรวจเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า สารเคมีพิษที่ตกค้างในอาหารเป็นพิษร้ายอันตรายสะสมในร่างกายก่อให้เกิดมะเร็ง โรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ หรือมีอาการทางจิตประสาท

เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ ไทยแพน (Thai-PAN : ThailandPesticide Alert Network) เริ่มสุ่มตรวจในประเทศอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2555 ทำให้เจอข้อมูลสะเทือนขวัญผู้บริโภคว่า กว่าร้อยละ 60-70 ของผักผลไม้ยอดนิยมที่คนไทยชอบกินนั้น มียาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าโรคพืช และสารเคมีร้ายแรงที่ห้ามใช้ทั่วโลกหลายชนิด

เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคพยายามออกมาผลักดันให้กระทรวงเกษตรฯจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นในพืชผักบางประเภท แต่ตัวเลขล่าสุดของปี 2559 ก็ยังน่าตกใจ เพราะพบสารพิษตกค้างถึง 66 ชนิด รวมถึงที่อียูหวาดผวา 2 ชนิด ได้แก่ “คาร์โบฟูราน” พบตกค้างในพริก และ “เมโทมิล” ในฝรั่ง

4 พฤษภาคม 2559 “ไทยแพน” จัดแถลงข่าวเปิดเผยตัวเลขหลังจากเก็บตัวอย่างผัก 10 ชนิด ผลไม้ 6 ชนิด รวม 138 ตัวอย่าง ได้แก่ กะหล่ำปลี แตงกวา ผักบุ้งจีน มะเขือเทศ ผักกาดขาวปลี คะน้า ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ กะเพรา และพริกแดง และชนิดผลไม้ 6 ชนิด ได้แก่ แตงโม มะม่วงน้าดอกไม้ มะละกอ แก้วมังกร ฝรั่ง และส้มสายน้าผึ้ง สินค้าสุ่มซื้อมาจากตลาดสดและซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง 7 แห่ง เขตกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และ อุบลราชธานี ระหว่าง 16-18 มี.ค. 2559 ตัวอย่างทั้งหมดส่งไปตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการใน “อังกฤษ” เนื่องจากวิเคราะห์สารพิษตกค้างได้ถึง 450 ชนิด

ผลการตรวจสารพิษตกค้างอันดับ 1 คือ “พริกแดง” พบทั้งหมด 100 %เปอร์เซ็นต์ ของตัวอย่าง อันดับ 2 กะเพราและถั่วฝักยาว พบ 66.67% อันดับ 3 คะน้า 55.56% ส่วนผลไม้นั้น อันดับ 1 คือ ส้มสายน้าผึ้ง และฝรั่ง พบ 100 % รองลงมาเป็นแก้วมังกร มะละกอ มะม่วงน้าดอกไม้ ซึ่งพบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐาน 71.4 %

และที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้บริโภคมากสุด คือ พบว่าผักและผลไม้ “ปลอดสารพิษ” ที่ได้รับตราคิว “Q” หรือได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กลายเป็นว่ามีสารเคมีมากสุด และสูงถึง 57.1% ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มผักผลไม้ “ไร้สารพิษ” หรือพวกออร์แกนิคไทยแลนด์(Organic Thailand) ซึ่งหมายถึงไม่มีการใช้สารเคมีในแปลงที่ปลูก พบสารพิษตกค้างสูงเกินมาตรฐานถึง 25% หรือ 1 ใน 4 ของจำนวนตัวอย่าง

ราคาของพืชผักไร้สารพิษ ปลอดสารพิษจะแพงกว่าธรรมดา 2 -3 เท่า เช่น คะน้าขายในตลาดสด 30-50 บาท เพิ่มเป็น 150-250 บาท พริกในตลาดแพ็คละ 20-30 บาท หากเป็นปลอดสารพิษพุ่งสูงถึง 200-300 บาท

“ปรกชล อู๋ทรัพย์” ผู้ประสานงานเครือข่าย ฯ อธิบายว่า ผักคิวคือผักปลอดสารพิษหมายถึงผักที่ใช้สารเคมีบ้างแต่การเก็บเกี่ยวจะระวังไม่ให้มีการตกค้างหลงเหลือมาถึงผู้บริโภค ส่วนผักไร้สารพิษนั้น คือแปลงผักต้องไม่ใช้สารเคมีเลย การสำรวจครั้งนี้ทำให้รู้ว่าผู้บริโภคเหมือนถูกหลอกให้จ่ายแพงกว่า แต่เสี่ยงได้รับพิษเหมือนกัน โดยเฉพาะผักไร้สารพิษที่พบร้อยละ 25 ถือว่าสูงมาก เพราะหลักการแล้วไม่ควรตรวจพบเลย พร้อมกล่าวแนะนำว่า

“ตอนนี้มี 3 มาตรการสำคัญที่จะต้องเร่งทำคือ ส่งข้อมูลให้กระทรวงเกษตรลงไปตรวจสอบว่า เจ้าของสินค้าทำผิดขั้นตอนส่วนไหน หรือ เป็นการแอบอ้าง และจากนี้ไปหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องช่วยกันตรวจสอบผักผลไม้ทั้งไร้สารและธรรมดาว่า กลุ่มที่มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานมาจากไร่สวนบริเวณใด 2 ซุปเปอร์มาร์เก็ตและห้างที่วางขายต้องช่วยกันรับผิดชอบคุณภาพสินค้าเกษตร เพราะเป็นตัวกลางที่ได้ผลกำไร ต้องสร้างระบบดูแลคุณภาพของตัวเอง สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ และ 3 ผู้บริโภคต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา สร้างเครือข่ายกดดันให้มีการผลิตและวางขายเฉพาะสินค้างเกษตรที่ปลอดภัย”

คำถามที่ยังค้างคาใจคือ ทำไม “พริก” จึงกลายเป็นผักที่มีสารพิษตกค้างมากสุดถึง 23 ชนิด และพบตัวอย่างที่เก็บมาตรวจ ?

ตัวแทนจาก “คณะทำงานติดตามผลกระทบเกษตรพันธสัญญา” เปิดเผยเบื้องหลังฟาร์มพริกให้ฟังว่า ปัจจุบันการปลูกพริกเพื่อจำหน่ายนั้น ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของกลุ่มนายทุนขายเมล็ดพันธุ์พืช โดยเริ่มจากชักชวนเกษตรกรกลุ่มแรกมาสมัครสมาชิกหรือแปลงเกษตรพันธสัญญา เพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์พริกขายให้แปลงผักทั่วไป ฟาร์มพริกนี้จะต้องรับชนิดพันธุ์ที่ตกลงในสัญญาเท่านั้น และต้องซื้อและต้องใช้ ยาฆ่าหญ้า ยาฆาแมลง ยาฆ่าโรคพืช สารกำจัดวัชพืช ฯลฯ ตามที่ตกลงกันไว้เพื่อให้ได้เมล็ดแม่พันธุ์ที่อวบอิ่ม สวยงาม สีแดงเขียวสดใส จากนั้นนายทุนจะซื้อเมล็ดไปขายให้ชาวไร่ทั่วไปที่ปลูกพริกขาย และทำสัญญาคล้ายคล้ายคลึงกัน เพื่อให้ใช้สารเคมีจำนวนมาก เพราะกำไรที่นายทุนได้มาจากส่วนนี้เป็นหลัก

“ พริกทั่วไปถ้าไม่ใช้ยาฆ่าแมลงจะไม่ค่อยอวบสวย และต้นพริกโดยธรรมชาติติดโรคและตายง่าย ทำให้ต้องกระหน่ำใส่ยาต่าง ๆ เต็มที่ สารพิษเหล่านี้เข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อของพริก เพราะสะสมตั้งแต่ในเมล็ดพันธุ์ ไม่สามารถล้างออกได้ คนกินจึงได้รับอันตรายสุด สุ่มตรวจเท่าไรก็เจอ รัฐบาลต้องเริ่มเอาจริงในการจัดการกับระบบเกษตรพันธสัญญาที่หลอกล่อให้ชาวไร่ชาวนากู้ยืมจากนายทุน สุดท้ายไม่มีเงินคืนก็กลายเป็นหนี้สิน ต้องทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง ให้ใช้สารเคมีอะไรก็ใช้ นายทุนไม่สนใจว่ามีสารพิษตกค้างไปทำอันตรายคนกินแค่ไหน”

ตัวแทนจากข้างต้น ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกฯ พยายามผลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการคุ้มครองเกษตรพันธสัญญา”เพื่อช่วยดูแลไม่ให้ชาวไร่ชาวนาตกเป็นทาสนายทุน โดยเนื้อหาสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ

1. ห้ามทำสัญญา “ได้เปรียบ” อีกฝ่ายหนึ่ง 2. ห้ามส่งไม่ให้ขาย “พันธุ์พืช-สัตว์” “อาหาร” “ยา” และ“ปัจจัยผลิต” ที่ไม่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกรหรือคู่สัญญา

3. “ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร” ต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานรัฐ 4. ต้องเปิดเผยข้อมูลสัญญาต่อสาธารณะ 5. รัฐต้องมีมาตรการส่งเสริม “การลงทุน” และ “ภาษีอากร” ให้กับบริษัทหรือเอกชนที่ประกอบธุรกิจด้านการเกษตรพันธสัญญา

6. ทั้งฝ่ายเกษตรกรและบริษัทเอกชนต้องร่วมกันรับผิดชอบหากทำความเสียหายให้สิ่งแวดล้อม 7. แต่งตั้ง “คณะกรรมการระงับข้อพิพาท” ทุกจังหวัด และ 8. เมื่อมีการร้องเรียนต้องพิจารณาระงับข้อพิพาทให้เสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน โดยผู้ที่ทำผิดต้องรับโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับ 2 แสน-1 ล้านบาท ตามที่กฎหมายกำหนด

ล่าสุด ร่างกม.ข้างต้นอยู่ที่ “สนช.” หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ถูกยกเป็นกฎหมายสำคัญ จึงไม่ได้รีบเร่งพิจารณา !?!

ชาวบ้านได้แต่หวังว่า ตัวเลขสารพิษที่ตกค้างในผัก-ผลไม้ ที่ถูกเปิดเผยออกมานั้น อาจทำให้รัฐบาลเร่งสปีดออกกฎหมายตัวนี้มา และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดการควบคุมดูแล

ก่อนที่คนไทยจะตายผ่อนส่งเพราะกิน “ผักพิษ” “ผลไม้พิษ” ที่สำคัญ คือ มะเร็งหรือโรคร้ายที่เกิดจากสารพิษเหล่านี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เกิดกับทุกคนที่จับจ่ายซื้ออาหารเข้าร่างกายวันละ 3 มื้อ

อย่าปล่อยให้คนไทยทำงานหนักแล้วสุดท้ายเอาเงินไปซื้อสารพิษกิน และอย่าปล่อยให้ชื่อเสียงไทยแลนด์จาก “ครัวโลก” เป็น “ครัวโรค” !

#เสียเงินบาทเพื่อป้องกันดีกว่าเสียเงินพันเพื่อรักษา
#วันนี้คุณทานเอมมูร่าหรือยัง

ครั้งแรกของโลก!
นักวิจัย มช.ค้นพบสารสกัดเมล็ดงายับยั้งมะเร็ง